แม้จะเป็นเรื่องธรรมชาติที่เราทำกันทุกวัน แต่ “การนอนหลับ” กลับไม่ง่ายอย่างที่คิดสำหรับใครหลายคนบางคืนนอนไม่หลับ บางคืนหลับ ๆ ตื่น ๆ หรือบางคนถึงขั้นหลับไปแล้วแต่สมองยังคงวนเวียนคิดเรื่องเดิมซ้ำไปซ้ำมา… รู้ตัวอีกที พระอาทิตย์ก็ขึ้นแล้ว ปัญหาเหล่านี้อาจดูเล็ก แต่ส่งผลต่อสุขภาพมากกว่าที่คิด หากเริ่มสงสัยว่าอาการของคุณผิดปกติหรือไม่ สามารถปรึกษา Bangkok Sleep Center เพื่อประเมินและหาสาเหตุของอาการนอนไม่หลับ เพื่อการรักษาที่เหมาะสมและถูกจุด
หรือถ้าอยากเริ่มต้นง่าย ๆ ลอง 10 วิธีนอนหลับให้ดีขึ้นในบทความนี้ ที่อาจเปลี่ยนคืนที่วุ่นวาย ให้กลายเป็นคืนแห่งการพักผ่อนอย่างแท้จริง
ทำไมคนเราต้องนอน?
จากการศึกษาทางสรีรวิทยา พบว่าในช่วงที่เรานอนหลับ ร่างกายจะเข้าสู่โหมดการซ่อมแซม ฟื้นฟู และปรับสมดุลระบบต่าง ๆ ทำให้นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า “การนอนหลับ” คือกระบวนการที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อการมีสุขภาพที่ดีในระยะยาว โดยการนอนหลับมีจุดประสงค์หลัก ๆ ดังนี้
- ซ่อมแซมร่างกายและสมอง
ในระหว่างการนอนหลับ ร่างกายจะเร่งกระบวนการซ่อมแซมเซลล์เนื้อเยื่อ กล้ามเนื้อ และสมองที่ถูกใช้งานระหว่างวัน ช่วยให้ร่างกายฟื้นกลับมาสู่ภาวะสมดุล - เก็บรักษาและกักเก็บพลังงานในร่างกาย
ช่วงหลับลึกเป็นเวลาที่ร่างกายลดการใช้พลังงานลงอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมสะสมพลังงานไว้ใช้ในวันถัดไป - ปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมรอบตัว
การนอนช่วยรีเซตนาฬิกาชีวิต (circadian rhythm) ให้สอดคล้องกับเวลากลางวัน-กลางคืน และสภาพแวดล้อมรอบตัว - ช่วยรวบรวมและบันทึกความทรงจำ
สมองจะจัดระเบียบข้อมูลที่ได้รับในแต่ละวัน รวมถึงแปลงความทรงจำระยะสั้นให้กลายเป็นระยะยาว ซึ่งสำคัญต่อการเรียนรู้และการตัดสินใจ - รักษาสมดุลของฮอร์โมนและระบบประสาท
ขณะนอนหลับจะมีการปรับสมดุลของฮอร์โมนที่ควบคุมความหิว ความอิ่ม การเจริญเติบโต และความเครียดให้เป็นปกติ - รักษาสมดุลของอุณหภูมิในร่างกาย
ร่างกายจะปรับอุณหภูมิให้เหมาะสมกับภาวะการพักผ่อน เพื่อรักษาสมดุลภายในและลดการอักเสบของร่างกาย - รักษากระบวนการทำงานของระบบต่าง ๆ ของร่างกายให้ปกติ
ระบบหัวใจ หลอดเลือด ภูมิคุ้มกัน และเมตาบอลิซึมจะทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นเมื่อได้นอนหลับเพียงพอ
นอนหลับอย่างไรให้ได้คุณภาพดี?
การนอนหลับที่ดีไม่ใช่แค่ “นอนให้พอ” แต่ต้อง “นอนให้มีคุณภาพ” ด้วย เพราะถึงแม้คุณจะนอนครบ 8 ชั่วโมง แต่ถ้าหลับไม่ลึก ตื่นบ่อย หรือไม่ผ่านช่วงหลับฝันเลย ก็อาจตื่นมาพร้อมความง่วง อ่อนเพลีย ไม่สดชื่น การนอนอย่างมีคุณภาพควรคำนึงถึง 2 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่
- ปริมาณชั่วโมงการนอนที่เหมาะสมตามช่วงวัย
โดยร่างกายแต่ละวัยต้องการเวลานอนไม่เท่ากัน- เด็กเล็กควรนอนประมาณ 11–13 ชั่วโมงต่อวัน
- ผู้ใหญ่ควรนอนอย่างน้อย 7–8 ชั่วโมงต่อคืน
หากนอนไม่ครบตามช่วงวัย ร่างกายจะไม่สามารถฟื้นฟูตัวเองได้อย่างเต็มที่ อีกทั้งอาจทำให้ระบบฮอร์โมน อารมณ์ และภูมิคุ้มกันเสียสมดุลได้
- คุณภาพของการนอนในแต่ละช่วง
การนอนหลับที่มีคุณภาพ คือการที่มีการนอนหลับโดยผ่านทุก “ระยะของการนอน” ได้อย่างสมบูรณ์- เริ่มจาก “หลับตื้น” เพื่อค่อย ๆ ผ่อนคลาย
- เข้าสู่ “หลับลึก” เพื่อให้ร่างกายซ่อมแซมและฟื้นฟู
- ปิดท้ายด้วย “หลับฝัน (REM sleep)” ซึ่งเป็นช่วงที่สมองจัดระเบียบความคิดและความจำ
หากทั้ง 3 ระยะนี้ทำงานได้ครบถ้วน จะทำให้ตื่นมาพร้อมความรู้สึกสดชื่น สมองปลอดโปร่ง และพร้อมรับมือกับวันใหม่อย่างมีพลัง
วงจรการหลับ 3 ระยะ
การนอนหลับของคนเราไม่ใช่กระบวนการที่เกิดขึ้นแบบเดียวตลอดทั้งคืน แต่มีการแบ่งเป็น “ระยะของการหลับ” ซึ่งสลับกันไปมาหลายรอบในหนึ่งคืน โดยแบ่งออกเป็น 3 ระยะสำคัญ ดังนี้
1. ระยะหลับตื้น (Light Sleep)
- เป็นช่วงเริ่มต้นของการนอน
- ร่างกายจะเริ่มผ่อนคลาย อัตราชีพจรและการหายใจช้าลง
- ยังตื่นง่าย เสียงหรือแสงรบกวนเพียงเล็กน้อยก็สามารถปลุกให้ตื่นได้
- มีบทบาทในการเปลี่ยนผ่านจากความตื่นตัวสู่ภาวะพักผ่อนที่ลึกขึ้น
2. ระยะหลับลึก (Deep Sleep หรือ Slow-wave Sleep)
- เป็นช่วงที่ร่างกายพักผ่อนได้อย่างแท้จริง
- คลื่นสมองจะช้าลง ร่างกายซ่อมแซมเซลล์ที่สึกหรอ เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และหลั่งโกรทฮอร์โมน
- หากตื่นจากช่วงนี้จะรู้สึกมึน งัวเงีย เพราะสมองยังอยู่ในโหมดพัก
- เด็ก ๆ และวัยรุ่นมักมีระยะหลับลึกนานกว่าผู้ใหญ่
3. ระยะหลับฝัน (REM Sleep: Rapid Eye Movement)
- เป็นช่วงที่มีการกลอกตาไปมาอย่างรวดเร็ว
- สมองจะกลับมาทำงานใกล้เคียงกับตอนตื่น กล้ามเนื้อส่วนใหญ่จะอยู่ในภาวะอัมพาตชั่วคราว จึงมักจะเกิดการฝัน
- เป็นช่วงที่มักเกิดความฝัน และสมองใช้จัดระเบียบความจำและอารมณ์
- มีความสำคัญต่อการเรียนรู้ ความคิดสร้างสรรค์ และสุขภาพจิตใจ
ในแต่ละคืน ร่างกายจะหมุนเวียนผ่านทั้ง 3 ระยะนี้เป็นรอบ ๆ (เรียกว่า “sleep cycle”) ประมาณ 4–6 รอบ โดยรอบแรกจะใช้เวลาสั้น และในรอบถัดไปจะมีระยะ REM ยาวขึ้นเรื่อย ๆ
หากร่างกายผ่านแต่ละระยะได้ครบถ้วนโดยไม่ถูกขัดจังหวะ ตื่นมาจะความรู้สึกสดชื่น สมองปลอดโปร่ง และมีพลังเต็มร้อย

หลับ ๆ ตื่น ๆ เสี่ยงสุขภาพแย่ไม่รู้ตัว!
แม้บางคนจะนอนครบชั่วโมงที่ควรแล้ว แต่หากการนอนหลับไม่ลึก พักผ่อนไม่ต่อเนื่อง หรือมีอาการ “หลับ ๆ ตื่น ๆ” บ่อยครั้ง ก็อาจส่งผลกระทบต่อร่างกายโดยไม่รู้ตัว ดังนี้
- ร่างกายฟื้นตัวไม่เต็มที่
การนอนไม่ต่อเนื่องทำให้ร่างกายไม่ได้ผ่านช่วงหลับลึกหรือหลับฝันอย่างเหมาะสม ส่งผลให้กระบวนการซ่อมแซมเซลล์ เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และฟื้นฟูสมองทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ - ระบบหัวใจและหลอดเลือดทำงานหนัก
การสะดุ้งตื่นหรือหลับ ๆ ตื่น ๆ ซ้ำ ๆ อาจกระตุ้นระบบประสาทอัตโนมัติ ทำให้หัวใจเต้นเร็ว ความดันเลือกสูง และหลอดเลือดหดตัว ซึ่งเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมอง อัมพฤกษ์ อัมพาต และโรคหัวใจ - อารมณ์แปรปรวน สมาธิสั้นลง
ผู้ที่นอนหลับไม่ต่อเนื่องมักตื่นมาแล้วรู้สึกไม่สดชื่น หงุดหงิดง่าย ไม่มีสมาธิ ทำงานได้ไม่เต็มที่ ซึ่งเป็นผลจากสมองที่ไม่ได้พักอย่างเพียงพอ - เสี่ยงต่อโรคเรื้อรังในระยะยาว
หลายงานวิจัยพบว่าการนอนหลับไม่มีคุณภาพเชื่อมโยงกับความเสี่ยงของโรคเรื้อรังต่าง ๆ เช่น เบาหวาน ความดันสูง และโรคอ้วน - ไม่สามารถเข้าสู่ระยะการนอนหลับที่สำคัญได้ครบถ้วน
โดยเฉพาะช่วงหลับลึกและหลับฝันที่มีบทบาทต่อการจดจำ อารมณ์ และสุขภาพสมอง หากร่างกายถูกรบกวนในช่วงนี้บ่อย ๆ สมองจะล้า และทำให้ร่างกายจะเหนื่อยล้าสะสม - เสี่ยงต่ออันตรายจากการง่วงนอนในตอนกลางวัน
เมื่อนอนไม่เต็มอิ่ม ร่างกายจะพยายามชดเชยด้วยอาการง่วงในช่วงกลางวัน ซึ่งอาจส่งผลต่อการเรียน การทำงาน ความปลอดภัยในการทำงานหรือการขับขี่ยานภาหนะต่าง ๆ
นอนเยอะสามารถชดเชยการอดนอนได้ไหม
หลายคนอดนอนในวันธรรมดาแล้วใช้วันหยุด “นอนชดเชย” แบบยาว ๆ โดยหวังให้ร่างกายฟื้นตัว แต่ความจริงแล้วการนอนหลับไม่สามารถชดเชยได้เต็มที่เสมอไป เนื่องจากเหตุผลเหล่านี้
- การนอนมากเกินไปอาจทำให้รู้สึกเพลียมากกว่าเดิม
หากนอนเกินกว่า 7–8 ชั่วโมงเป็นประจำ อาจทำให้รู้สึกตื่นมายิ่งง่วง งัวเงีย และไม่สดชื่น เพราะร่างกายอาจหลุดจากวงจรการนอนที่สมดุล - นอนชดเชย 1 วัน อาจไม่เพียงพอ หากอดนอนสะสมหลายวัน
หากอดนอนต่อเนื่องหลายคืน การนอนวันเดียวอาจไม่สามารถชดเชยได้ทั้งหมด ร่างกายอาจต้องการเวลา 2–3 วันจึงจะเริ่มรู้สึกดีขึ้น - การนอนกลางวันช่วยได้ แต่ไม่ควรนานเกินไป
หากนอนกลางวันเกิน 60 นาที อาจทำให้เข้าสู่ช่วงหลับลึก แล้วตื่นขึ้นมาจะรู้สึกงัวเงีย ดังนั้นควรนอนสั้น ๆ ประมาณ 20–30 นาที เพราะจะช่วยรีเฟรชร่างกายได้ดีกว่า - การนอนแบบกระจายเป็นช่วง ๆ ไม่ได้ผลดีเท่ากับนอนต่อเนื่อง
การนอนสั้น ๆ แล้วตื่นหลายครั้งในคืนเดียว (เช่น หลับ ๆ ตื่น ๆ) จะทำให้ร่างกายไม่เข้าสู่ช่วงหลับลึกหรือหลับฝันได้เต็มที่ ซึ่งส่งผลต่อสมองและการฟื้นฟูร่างกาย - การนอนสะสมล่วงหน้า (sleep banking) อาจช่วยได้บ้างในบางกรณี
ถ้ารู้ล่วงหน้าว่าจะต้องอดนอน เช่น ทำงานกะดึกหรือเดินทางข้ามเขตเวลา (time zone) การนอนให้มากขึ้นล่วงหน้าก็อาจช่วยลดผลกระทบได้บางส่วน - คุณภาพของการนอนสำคัญกว่าปริมาณ
แม้จะนอนครบชั่วโมง แต่หากหลับไม่ลึกหรือหลับไม่ต่อเนื่อง ก็อาจยังรู้สึกอ่อนเพลีย ดังนั้นควรเน้นการนอนให้มีคุณภาพ มากกว่าการนอนให้ “เยอะ”

10 วิธี นอนหลับอย่างไรให้ได้คุณภาพดี?
นอนครบ 8 ชั่วโมง แต่ทำไมยังรู้สึกเพลีย? นั่นเพราะ “ชั่วโมงการนอน” ไม่ได้การันตีว่าเราจะนอนหลับอย่างมีคุณภาพ หากคุณมีปัญหาการนอน นอนไม่หลับ หลับไม่สนิท หรือสะดุ้งตื่นบ่อย ลองปรับพฤติกรรมง่าย ๆ 10 วิธีนี้ก่อนนอน อาจช่วยให้คุณหลับลึก หลับสบาย และตื่นมาสดชื่นกว่าเดิม
1. สร้างบรรยากาศในห้องให้น่านอน
ห้องนอนที่เหมาะสมกับการนอน ควรเงียบ มืด อากาศเย็นพอดี และปลอดแสงรบกวนจากหน้าจอหรือไฟจ้า ๆ อุณหภูมิที่เหมาะสมอยู่ที่ประมาณ 24–26 องศาเซลเซียส จะช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย พร้อมเข้าสู่โหมดพักผ่อนได้ดียิ่งขึ้น
2. หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักก่อนนอน
แม้การออกกำลังกายจะดีต่อสุขภาพ แต่หากออกช่วงใกล้เวลานอนเกินไป จะทำให้ร่างกายตื่นตัว หัวใจเต้นเร็วขึ้น ส่งผลให้นอนหลับยาก โดยควรเว้นระยะอย่างน้อย 2–3 ชั่วโมงก่อนเข้านอน
3. ไม่เล่นโทรศัพท์หรือทำงานก่อนนอน
แสงสีฟ้าจากหน้าจอมือถือหรือคอมพิวเตอร์มีผลต่อการหลั่ง “เมลาโทนิน” ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ทำให้เรารู้สึกง่วง ควรงดใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ก่อนนอน 1–2 ชั่วโมง เพื่อให้สมองเข้าสู่โหมดพักผ่อนได้เต็มที่
4. แช่น้ำอุ่น
การแช่น้ำอุ่นประมาณ 10–15 นาที ก่อนนอนจะช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย ลดความเครียด และกระตุ้นการไหลเวียนเลือด ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่รู้สึกเพลียแต่หลับยาก
5. ใช้กลิ่นหอมช่วยบำบัด
กลิ่นอโรม่า เช่น ลาเวนเดอร์ หรือคาโมมายล์ มีคุณสมบัติช่วยให้รู้สึกสงบและผ่อนคลาย สามารถใช้ผ่านการหยดน้ำมันหอมระเหยในห้อง หรือฉีดพ่นที่หมอนเบา ๆ ก็ได้ผลดีเช่นกัน
6. หลีกเลี่ยงคาเฟอีน แอลกอฮอล์ และบุหรี่ก่อนนอน
เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น กาแฟ ชา น้ำอัดลม รวมถึงแอลกอฮอล์และบุหรี่ ล้วนกระตุ้นระบบประสาท ทำให้หลับยาก ดังนั้นจึงควรงดก่อนนอนอย่างน้อย 4 ชั่วโมง
7. เข้านอนให้เป็นเวลา
การนอนหลับในช่วงเวลาเดิมทุกวันจะช่วยปรับนาฬิกาชีวิต (circadian rhythm) ให้สมดุล เวลาที่เหมาะสมในการเข้านอนอยู่ระหว่าง 21.00–23.00 น. และพยายามตื่นในเวลาใกล้เคียงกันทุกวัน รวมทั้งในวันหยุดด้วย
8. ฝึกหายใจหรือทำสมาธิก่อนนอน
หากรู้สึกเครียดก่อนนอน ลองฝึกหายใจลึก ๆ อย่างช้า ๆ หรือทำสมาธิประมาณ 5–10 นาที จะช่วยให้จิตใจนิ่ง สมองปลอดโปร่ง ทำให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น
9. งีบระหว่างวันให้พอดี
หากง่วงช่วงกลางวัน อาจงีบได้ แต่ไม่ควรเกิน 20–30 นาที เพื่อเติมพลังให้สมอง แต่อย่าให้นานเกินไป หรืองีบใกล้เวลานอน เพราะอาจรบกวนการนอนตอนช่วงกลางคืนได้
10. จัดการความเครียดก่อนนอน
ความเครียดสะสมส่งผลต่อคุณภาพการนอนอย่างมาก ลองเขียนบันทึกสั้น ๆ ก่อนนอน พูดคุยกับคนในครอบครัว หรือหากรู้สึกกังวลมาก ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อหาวิธีคลายเครียดอย่างเหมาะสม
โรคนอนไม่หลับมีอาการอย่างไร?
โรคนอนไม่หลับ (Insomnia) คือ ภาวะผิดปกติของการนอนหลับ ที่ทำให้หลับยาก หลับไม่ลึก หรือสะดุ้งตื่นกลางดึกโดยที่กลับไปนอนต่อไม่ได้ ส่งผลให้ร่างกายไม่สามารถฟื้นฟูได้เต็มที่ และหากสะสมต่อเนื่อง อาจส่งผลกระทบทั้งทางร่างกาย อารมณ์ ความจำ และการใช้ชีวิตประจำวัน โดยโรคนอนไม่หลับสามารถแบ่งอาการได้เป็น 3 ลักษณะ ได้แก่
- หลับยาก: ต้องใช้เวลานานกว่า 20 นาทีจึงจะหลับ
- หลับได้ไม่นาน: มักสะดุ้งตื่นกลางดึก แล้วไม่สามารถหลับต่อได้
- หลับ ๆ ตื่น ๆ: หลับไม่ลึก รู้สึกเหมือนตื่นตลอดทั้งคืน
หากมีพฤติกรรมการนอนลักษณะนี้อย่างต่อเนื่อง อาจเข้าข่ายโรคนอนไม่หลับ โดยเฉพาะหากมีอาการร่วมเหล่านี้ด้วย เช่น
- ใช้เวลานอนหลับเกินกว่า 20 นาทีเป็นประจำ
- ตื่นกลางดึกทุก 2–3 ชั่วโมง แล้วหลับต่อยาก
- นอนหลับไม่เกิน 2–3 ชั่วโมงในแต่ละคืน
- มีอาการเหล่านี้มากกว่า 3 วัน/สัปดาห์ และนานเกิน 3 เดือน
- เริ่มกระทบต่อชีวิตประจำวัน เช่น ง่วงจัด หงุดหงิด หรือซึมเศร้า
แม้การนอนไม่หลับในช่วงแรกอาจดูเหมือนเรื่องเล็ก แต่หากปล่อยไว้ อาจนำไปสู่โรคทางร่างกายและจิตใจ เช่น ความดันโลหิตสูง โรคซึมเศร้า โรคหัวใจ หรือภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงอย่างไม่รู้ตัว นอกจากนี้ยังจะส่งผลถึงการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น ทำงานไม่ไหว ง่วงระหว่างวัน หรือรู้สึกซึมเศร้าง่าย อาจเข้าข่าย “โรคนอนไม่หลับเรื้อรัง” ที่ควรได้รับการดูแลจากแพทย์
หากอาการยังอยู่ในระดับเบื้องต้น อาจเริ่มจากการปรับพฤติกรรมการนอน แต่หากอาการยังไม่ดีขึ้น แพทย์อาจแนะนำวิธีการบำบัดที่ไม่ใช้ยา เช่น CBT-I (Cognitive Behavioral Therapy for Insomnia) ซึ่งช่วยปรับพฤติกรรมและความคิดเกี่ยวกับการนอน เป็นหนึ่งในแนวทางที่ได้รับการยอมรับว่ามีประสิทธิภาพ และปลอดภัย โดยเฉพาะในผู้ที่มีภาวะนอนไม่หลับเรื้อรัง
สาเหตุและปัจจัยของโรคนอนไม่หลับ?
โรคนอนไม่หลับ เกิดจากหลายปัจจัยที่อาจซ่อนอยู่ในพฤติกรรมประจำวัน หรือเกี่ยวข้องกับภาวะทางร่างกายและจิตใจ ได้แก่
- สภาพแวดล้อมและพฤติกรรมการนอน เช่น แสง เสียง ความร้อน การใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ก่อนนอน พฤติกรรมการเข้านอนไม่เป็นเวลา การนอนกลางวันนานเกินไป ฯลฯ
- ความเครียด วิตกกังวล และภาวะอารมณ์ เช่น ความเครียดจากการทำงาน ปัญหาครอบครัว การเปลี่ยนแปลงในชีวิต หรือโรคทางอารมณ์ เช่น ซึมเศร้า วิตกกังวล
- โรคทางกายหรือโรคเรื้อรังที่รบกวนการนอน เช่น ปวดเรื้อรัง หอบหืด ภาวะหัวใจล้มเหลว ต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติ วัยหมดประจำเดือน นอนกรน ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ โรคกรดไหลย้อน โรคสมองเสื่อม ฯลฯ
- ผลข้างเคียงจากยา เช่น ยากลุ่มกระตุ้นประสาท ยาความดันบางประเภท อาจส่งผลต่อการหลับหรือทำให้นอนหลับไม่ต่อเนื่อง
- สารกระตุ้นที่รบกวนวงจรการหลับ เช่น คาเฟอีน (กาแฟ ชา เครื่องดื่มชูกำลัง) นิโคติน (บุหรี่) และแอลกอฮอล์ ล้วนมีผลรบกวนการนอนทั้งระยะหลับลึกและหลับฝัน
หากสามารถระบุสาเหตุของปัญหาได้อย่างชัดเจน การรักษาและการปรับพฤติกรรมจะมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และช่วยป้องกันไม่ให้เกิดภาวะนอนไม่หลับเรื้อรัง
อันตรายจากโรคนอนไม่หลับ
การนอนไม่หลับเรื้อรังไม่ได้ส่งผลแค่ความง่วงหรืองัวเงียเท่านั้น แต่ยังส่งผลเสียต่อสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจ อาจทำให้เกิดโรคหรือความผิดปกติต่าง ๆ ได้ เช่น
- เสี่ยงต่อโรคภูมิแพ้ หอบหืด หรือโรคติดเชื้อต่าง ๆ
- เพิ่มโอกาสการเกิดความดันโลหิตสูง และโรคหลอดเลือดหัวใจ
- ระบบภูมิคุ้มกันทำงานแย่ลง ร่างกายอ่อนแอ ทำให้ติดเชื้อง่ายขึ้น หรือฟื้นตัวจากการเจ็บป่วยช้าลง
- ระบบเผาผลาญแปรปรวน เสี่ยงต่อโรคอ้วน เบาหวาน หรือไขมันในเลือดสูง
- เพิ่มฮอร์โมนความเครียด และทำให้สมดุลของฮอร์โมนที่ควบคุมความหิว-อิ่ม ผิดปกติ
- อาจทำให้มีอาการเจ็บป่วยเรื้อรัง เช่น ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ท้องผูกหรือท้องเสียบ่อย
- อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย ขี้ลืม เครียดง่าย ซึมเศร้า หรือวิตกกังวล
- ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง มีปัญหาเรื่องสมาธิ ความจำ และการตัดสินใจ
หากมีอาการนอนไม่หลับต่อเนื่องหรือเรื้อรัง และเริ่มสังเกตเห็นผลกระทบเหล่านี้ ควรรีบดูแลและปรึกษาแพทย์เฉพาะทางการนอนตั้งแต่เนิ่น ๆ เพราะการนอนที่มีคุณภาพไม่ใช่แค่ “พักผ่อน” แต่คือ “พื้นฐานของสุขภาพที่ดีในระยะยาว”
การดูแลและป้องกันปัญหาเกี่ยวกับนอนหลับ
การนอนหลับอย่างมีคุณภาพเป็นรากฐานของสุขภาพที่ดีทั้งทางกายและใจ แต่ด้วยพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น การทำงานดึก ใช้โทรศัพท์ก่อนนอน หรือความเครียดสะสม ล้วนเป็นตัวการที่ทำให้หลายคนหลับยาก หลับไม่สนิท หรือสะดุ้งตื่นกลางดึกบ่อย ๆ
เพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาเหล่านี้พัฒนาไปสู่ภาวะนอนไม่หลับเรื้อรัง เราสามารถเริ่มดูแลตัวเองได้ตั้งแต่วันนี้ด้วยวิธีง่าย ๆ ดังนี้
- นอนและตื่นให้เป็นเวลา แม้ในวันหยุด สร้างวินัยให้ร่างกายคุ้นเคยกับเวลานอนที่แน่นอน เช่น เข้านอนก่อน 4 ทุ่ม และตื่นในเวลาเดียวกันทุกวัน แม้ในวันหยุด
- จัดสภาพแวดล้อมให้น่านอน ปิดไฟ ลดเสียงรบกวน เปิดหน้าต่างให้อากาศถ่ายเท หรือใช้ที่อุดหู ผ้าปิดตาเพื่อช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย
- งดมือถือ ทีวี และหน้าจอก่อนนอนอย่างน้อย 1 ชั่วโมง เพราะแสงสีฟ้าจากหน้าจอรบกวนการหลั่งเมลาโทนิน ทำให้ร่างกายไม่รู้สึกง่วงแม้จะรู้สึกเหนื่อยก็ตาม
- หลีกเลี่ยงคาเฟอีน แอลกอฮอล์ และบุหรี่ช่วงเย็น สารเหล่านี้กระตุ้นสมองและร่างกาย ทำให้หลับได้ยากหรือหลับไม่ลึก
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ จะช่วยให้ร่างกายเหนื่อยในระดับที่พอเหมาะ และส่งเสริมการหลับลึก (แต่ควรเว้นระยะห่างจากเวลานอนอย่างน้อย 2–3 ชั่วโมง)
- ไม่งีบตอนเย็นหรือนอนกลางวันนานเกินไป การงีบควรจำกัดไม่เกิน 30 นาที และหลีกเลี่ยงการนอนหลังบ่าย 3 เพื่อไม่ให้ไปรบกวนการนอนในช่วงกลางคืน
- สร้างกิจกรรมผ่อนคลายก่อนนอน เช่น อ่านหนังสือ ฟังเพลงเบา ๆ อาบน้ำอุ่น หรือฝึกหายใจลึก ๆ เพื่อให้สมองสงบลงและเข้าสู่โหมดพักผ่อนได้ง่ายขึ้น
รักษาภาวะภาวะหยุดหายใจขณะหลับ โดยหากมีภาวะนี้ควรรักษาเพื่อคุณภาพการนอนที่ดีขึ้น โดยแพทย์อาจแนะนำให้ใช้เครื่องช่วยหายใจหรือเครื่อง CPAP เพื่อรักษาภาวะนี้
การนอนหลับอย่างมีคุณภาพจึงเป็นสิ่งสำคัญ
การนอนหลับที่ดีไม่ใช่แค่การนอนให้ครบชั่วโมง แต่คือการหลับลึก หลับต่อเนื่อง และตื่นมาอย่างสดชื่น หากเราละเลยคุณภาพของการนอนในระยะยาว อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพมากมาย ทั้งอารมณ์แปรปรวน สมาธิลดลง ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ไปจนถึงโรคเรื้อรังอย่างความดันโลหิตสูงหรือโรคหัวใจ
หลายคนอาจไม่รู้ว่าตัวเองกำลังเผชิญกับภาวะนอนไม่หลับเรื้อรัง เพราะคุ้นชินกับความเพลีย หรือการหลับไม่สนิททุกคืน ดังนั้น การสังเกตสัญญาณเตือน และปรับพฤติกรรมการนอนตั้งแต่เนิ่น ๆ จึงเป็นสิ่งสำคัญ
หากมีอาการที่เข้าข่ายโรคนอนไม่หลับควรปรึกษาแพทย์ เพื่อค้นหาสาเหตุ และรวมไปถึงการรักษาที่เหมาะกับแต่ละบุคคล
Bangkok Sleep Center เป็นให้บริการรักษาปัญหาการนอน โดยแพทย์เฉพาะทางการนอนหลับ ตั้งแต่การประเมินคุณภาพการนอน การวินิจฉัย ไปจนถึงแนวทางการรักษาที่เหมาะกับแต่ละบุคคล เพื่อให้คุณกลับมานอนหลับได้อย่างมีคุณภาพ ใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่ในทุกวัน และห่างไกลจากโรคเรื้อรังต่าง ๆ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการนอนหลับ
นอนหลับลึกทํายังไง?
เข้านอนและตื่นให้ตรงเวลา งดใช้หน้าจอก่อนนอน ปรับห้องให้น่านอน ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และหลีกเลี่ยงคาเฟอีนช่วงเย็น หากทำตามแล้วยังหลับไม่ลึกหรือนอนไม่มีคุณภาพ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์เฉพาะทางการนอนหลับเพื่อรับการดูแลอย่างเหมาะสม
การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอเป็นอย่างไร?
การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ คือหนึ่งในพื้นฐานของการมีสุขภาพดี ทั้งต่อร่างกาย จิตใจ และการทำงานของสมอง ผู้ใหญ่ควรนอนวันละ 7–9 ชั่วโมง โดยนอนหลับอย่างต่อเนื่อง ไม่สะดุ้งตื่นกลางดึก และตื่นมารู้สึกสดชื่น ไม่ง่วงระหว่างวัน หากนอนไม่พอเรื้อรัง อาจส่งผลให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ อารมณ์แปรปรวน สมาธิลดลง หรือเสี่ยงโรคเรื้อรังได้
ในแต่ละคืนควรมี REM sleep และหลับลึก กี่ชั่วโมง?
เพื่อสุขภาพที่ดี ผู้ใหญ่ควรนอนหลับคืนละ 7-9 ชั่วโมง โดยแบ่งเป็นช่วงหลับลึก (Deep Sleep) ประมาณ 13-23% และ REM sleep ประมาณ 20-25% ของเวลานอนทั้งหมด
การนอนหลับที่ถูกวิธีเป็นอย่างไร?
การนอนหลับที่ถูกวิธี ควรเข้านอนและตื่นให้ตรงเวลา นอนวันละ 7–9 ชั่วโมง งดใช้หน้าจอก่อนนอน ปรับห้องให้เงียบ มืด และอากาศถ่ายเท หลีกเลี่ยงคาเฟอีนช่วงเย็น และควรนอนเมื่อรู้สึกง่วง เพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อนอย่างเต็มที่
วงจรการนอนหลับคืออะไร?
วงจรการนอนหลับ คือการเปลี่ยนผ่านของร่างกายระหว่างช่วงต่าง ๆ ของการนอนในแต่ละคืน โดยแบ่งเป็น 2 ระยะหลักคือ NREM (หลับตื้น → หลับลึก) และ REM (หลับฝัน) ซึ่งร่างกายจะหมุนเวียนผ่านวงจรนี้ประมาณ 4–6 รอบต่อคืน การนอนให้ครบทุกระยะในแต่ละรอบจะช่วยให้ร่างกายและสมองฟื้นฟูได้เต็มที่ ตื่นมาสดชื่นและมีสมาธิในวันถัดไป
คนเราควรนอนหลับลึกเท่าไร?
คนเราควรมีช่วง หลับลึก (deep sleep) ประมาณ 13–23% ของเวลานอนทั้งหมด หรือเฉลี่ยประมาณ 1–2 ชั่วโมงต่อคืน สำหรับผู้ใหญ่วัยทำงาน การหลับลึกเป็นช่วงที่ร่างกายซ่อมแซมเซลล์ เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และฟื้นฟูพลังงาน หากหลับลึกไม่เพียงพอ แม้นอนครบชั่วโมงก็อาจยังรู้สึกเหนื่อย ง่วง และไม่มีสมาธิ