นอนกรน (Snoring) อันตรายแค่ไหน มีสาเหตุเกิดจากอะไรได้บ้าง ?

เสียงกรนในยามค่ำคืนอาจดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาหรือแค่เรื่องขำขันในบ้าน แต่คุณรู้หรือไม่ว่า “นอนกรน” อาจเป็นสัญญาณเตือนของปัญหาสุขภาพที่คาดไม่ถึง? อาการนี้ไม่ได้แค่รบกวนการนอนหลับของคนรอบข้าง แต่ยังอาจบ่งบอกถึงความผิดปกติในระบบทางเดินหายใจ หรือโรคร้ายแรง เช่น ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (sleep apnea) ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพโดยรวม

หากคุณหรือคนใกล้ตัวกำลังเผชิญปัญหานี้ที่ Bangkok Sleep Center พร้อมช่วยดูแลคุณด้วยทีมแพทย์ผู้ชำนาญการและเทคโนโลยีที่ทันสมัยในการตรวจวินิจฉัยและรักษาอาการนอนกรน ไม่ว่าจะเป็นการตรวจการนอนหลับ (sleep test) หรือการวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับคุณโดยเฉพาะ เพื่อคืนคุณภาพการนอนหลับและสุขภาพที่ดีให้กับคุณ

บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับสาเหตุของการนอนกรน และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ดูแล พร้อมคำแนะนำดี ๆ ในการแก้ไขปัญหานี้ ถ้าคุณอยากรู้ว่าการนอนกรนส่งผลต่อสุขภาพอย่างไร? ห้ามพลาดบทความนี้เด็ดขาด!

นอนกรน (snoring) คืออะไร?

นอนกรน (snoring) คือ เสียงที่เกิดจากการสั่นสะเทือนของเนื้อเยื่อในระบบทางเดินหายใจส่วนบน เช่น ลิ้นไก่ เพดานอ่อน หรือผนังคอหอย เมื่ออากาศไหลผ่านช่องทางเดินหายใจที่แคบลง เสียงกรนจะเกิดขึ้น ซึ่งสามารถมีระดับเสียงตั้งแต่เบาจนถึงดังมาก

แม้ว่าการนอนกรนเพียงอย่างเดียวอาจจะไม่ส่งผลต่อสุขภาพมากนัก แต่ปัญหานี้มีความสัมพันธ์โดยตรงกับ ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (sleep apnea) ซึ่งเป็นภาวะที่การหายใจหยุดเป็นช่วง ๆ ระหว่างนอนหลับ ซึ่งภาวะนี้ส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อคุณภาพการนอน เช่น การนอนหลับไม่ต่อเนื่อง ร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ และยังนำไปสู่ปัญหาสุขภาพต่าง ๆ ทั้งทางร่างกาย จิตใจ และอารมณ์

นอนกรน อันตรายแค่ไหน?

อาการนอนกรน เกิดจาก (สาเหตุใด)

ปัญหาการนอนกรนสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ การนอนกรนที่ไม่อันตรายและการนอนกรนที่อันตราย ซึ่งสามารถแบ่งได้จากอาการที่เกิดขึ้นระหว่างการนอนหลับ ได้แก่

  1. การนอนกรนธรรมดา
    การนอนกรนที่เกิดจากการตีบแคบของทางเดินหายใจบางส่วนในขณะหลับ แม้จะยังสามารถหายใจได้ในระดับที่ไม่เป็นอันตราย แต่เสียงกรนอาจสร้างความรำคาญให้กับคนรอบข้าง และอาจส่งผลให้นอนหลับยาก จนเกิดปัญหาความสัมพันธ์ และทำให้ผู้ที่นอนกรนรู้สึกขาดความมั่นใจในตนเอง 
  2. การนอนกรนที่อันตราย
    การนอนกรนที่อันตรายเกิดจากภาวะ “หยุดหายใจขณะหลับ (sleep apnea)” ซึ่งเป็นภาวะที่ทางเดินหายใจแคบลงมากจนปิดสนิทเป็นช่วง ๆ ทำให้ไม่สามารถหายใจได้ในระยะเวลาหนึ่ง การหยุดหายใจนี้จะเกิดขึ้นในระหว่างการนอนหลับ ส่งผลให้การหายใจขาดช่วง ซึ่งอาจเกิดขึ้นหลายครั้งในคืนเดียว และแต่ละครั้งที่เกิดการหยุดหายใจ ร่างกายจะขาดออกซิเจนอย่างรุนแรง ซึ่งทำให้ระบบต่าง ๆ ในร่างกายไม่ทำงานได้อย่างเต็มที่

ในช่วงที่หยุดหายใจ การนอนกรนจะดังขึ้น แล้วตามด้วยช่วงเวลาที่เงียบสนิทก่อนที่จะกลับมามีเสียงกรนอีกครั้ง ทำให้การนอนหลับไม่ต่อเนื่องและไม่สามารถพักผ่อนได้อย่างเต็มที่ ส่งผลให้ผู้ที่นอนกรนรู้สึกอ่อนเพลียในระหว่างวัน แม้จะนอนหลับเป็นเวลานานก็ตาม

นอกจากนี้ ภาวะนี้ยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านต่าง ๆ ดังนี้

  • ปัญหาสุขภาพร่างกาย
    การนอนกรนที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับจะทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคต่าง ๆ เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง ความดันโลหิตสูง และ ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน นอกจากนี้ยังสามารถทำให้ระบบการเผาผลาญในร่างกายทำงานได้ไม่เต็มที่ ซึ่งส่งผลให้มีความเสี่ยงต่อการเกิด โรคอ้วน และ เบาหวาน ตามมาได้
  • ผลกระทบต่อจิตใจและอารมณ์
    การนอนหลับที่ไม่เพียงพอและการหยุดหายใจเป็นช่วง ๆ ทำให้สมาธิและความจำลดลง ผู้ที่มีอาการนอนกรนอาจรู้สึกหงุดหงิดง่าย ซึมเศร้า หรือเครียด นอกจากนี้ยังอาจส่งผลกระทบต่อ สมรรถภาพทางเพศ โดยเฉพาะในผู้ชายที่อาจประสบกับปัญหาฮอร์โมนเพศชายลดลงจากการนอนหลับที่ไม่ต่อเนื่อง

การนอนกรนที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับจึงไม่ใช่เพียงแค่ปัญหาการนอนหลับธรรมดา แต่เป็นภาวะที่สามารถทำให้เกิดโรคร้ายแรงได้ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที

ปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้มีอาการนอนกรน

หลายปัจจัยสามารถเพิ่มความเสี่ยงในการนอนกรน ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับลักษณะทางร่างกาย พฤติกรรมการใช้ชีวิต หรือปัจจัยทางพันธุกรรม โดยปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดอาการนอนกรน ได้แก่

  1. น้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน
    ผู้ที่มีน้ำหนักเกินมักจะมีการสะสมไขมันที่บริเวณลำคอ ซึ่งทำให้ทางเดินหายใจแคบลง และทำให้เกิดอาการนอนกรนได้ง่ายขึ้น
  2. โรคภูมิแพ้
    การมีอาการภูมิแพ้ที่เกี่ยวข้องกับจมูก เช่น คัดจมูกหรือเยื่อบุจมูกบวม จะทำให้ทางเดินหายใจส่วนบนแคบลง ซึ่งทำให้การหายใจไม่สะดวกและเป็นสาเหตุของการนอนกรน
  3. ผนังกั้นโพรงจมูกเบี้ยวหรือคด
    หากมีผนังกั้นโพรงจมูกที่เบี้ยวหรือคด อาจทำให้การหายใจผ่านจมูกไม่สะดวก ส่งผลให้เกิดการนอนกรนได้ โดยเฉพาะในช่วงที่นอนหลับ
  4. รูปร่างหน้าหรือคางผิดปกติ
    รูปร่างหน้าหรือคางที่ผิดปกติ เช่น คางเล็ก คางหลุบ หรือคางที่ไม่อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม อาจทำให้ทางเดินหายใจแคบลง และเกิดการนอนกรนได้
  5. ต่อมทอนซิลโต
    เมื่อมีการขยายตัวของต่อมทอนซิล อาจทำให้ทางเดินหายใจแคบลงและทำให้เกิดการนอนกรน โดยเฉพาะในเด็กที่มีต่อมทอนซิลโต
  6. ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
    การดื่มแอลกอฮอล์ก่อนนอนอาจทำให้กล้ามเนื้อในลำคอผ่อนคลายหรือหย่อนมากเกินไป ส่งผลให้ทางเดินหายใจแคบลงและเกิดการนอนกรนได้
  7. สูบบุหรี่
    การสูบบุหรี่ทำให้เยื่อบุทางเดินหายใจบวมและระคายเคือง ซึ่งทำให้เกิดอาการกรนและภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
  8. การใช้ยาบางชนิด
    ยาบางชนิด เช่น ยานอนหลับหรือยาคลายเครียดอาจทำให้กล้ามเนื้อในลำคอผ่อนคลายและหย่อนมากเกินไป ส่งผลให้ทางเดินหายใจตีบแคบและทำให้เกิดการนอนกรน
  9. เพศชาย
    ผู้ชายมีแนวโน้มที่จะนอนกรนมากกว่าผู้หญิง 6-10 เท่า เนื่องจากผู้ชายมีไขมันบริเวณภายในลำคอมากกว่าและทางเดินหายใจแคบกว่าผู้หญิง
  10. ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน
    ผู้หญิงมักจะมีอาการนอนกรนเพิ่มขึ้นเมื่อเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนที่อาจทำให้กล้ามเนื้อในลำคออ่อนแอลง

ปัจจัยเหล่านี้สามารถทำให้คุณมีอาการนอนกรนได้ และบางปัจจัยอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ซึ่งควรได้รับการดูแลและรักษาเพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพในระยะยาว

นอนกรน หยุดหายใจขณะหลับ อันตราย

ภาวะแทรกซ้อน ของการนอนกรน

การนอนกรนไม่ได้เป็นเพียงปัญหาที่สร้างความรำคาญ แต่ยังอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ดังนี้

  1. ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (sleep apnea)
    • เกิดจากการตีบแคบของทางเดินหายใจจนปิดสนิท ทำให้หยุดหายใจชั่วคราว
    • อาจนำไปสู่การขาดออกซิเจนในเลือด ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและสมอง
  2. โรคหลอดเลือดและหัวใจ
    • ความดันโลหิตสูง: การขาดออกซิเจนทำให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้น
    • โรคหลอดเลือดหัวใจ: เสี่ยงต่อภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน
    • ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
  3. โรคหลอดเลือดสมอง
    • การขาดออกซิเจนในเลือดซ้ำ ๆ อาจเพิ่มโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดสมอง
  4. ปัญหาสุขภาพจิตและอารมณ์
    • อาการหงุดหงิดง่าย ซึมเศร้า หรือวิตกกังวล
    • สมาธิและความจำแย่ลง ส่งผลต่อการทำงานและการเรียน
  5. ความเหนื่อยล้าเรื้อรัง
    • การนอนหลับที่ไม่ต่อเนื่องส่งผลให้ร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ
    • ทำให้รู้สึกอ่อนเพลียและไม่มีพลังงานในระหว่างวัน
  6. โรคอ้วนและเบาหวาน
    • การพักผ่อนไม่เพียงพอทำให้การเผาผลาญอาหารลดลง อาจนำไปสู่โรคอ้วนและเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน
  7. ปัญหาสมรรถภาพทางเพศในผู้ชาย
    • การลดลงของฮอร์โมนเพศชายจากภาวะหยุดหายใจขณะหลับ อาจส่งผลให้เสื่อมสมรรถภาพทางเพศได้
  8. อุบัติเหตุที่เกิดจากการง่วงนอน
    • การนอนกรนที่รุนแรงอาจทำให้รู้สึกง่วงนอนในระหว่างวัน ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ เช่น อุบัติเหตุทางรถยนต์ หรือการทำงานกับเครื่องจักร

ภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า การนอนกรนไม่ใช่เรื่องเล็ก และควรได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสมโดยแพทย์เฉพาะทาง เช่น การตรวจการนอนหลับ (sleep test) เพื่อประเมินความเสี่ยงและหาวิธีจัดการที่เหมาะสมต่อไป

วิธีการรักษานอนกรน

การนอนกรนเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิต ทั้งของผู้ที่กรนเองและคนรอบข้าง วิธีการรักษาอาการนอนกรนในปัจจุบันมีหลากหลาย ตั้งแต่การปรับพฤติกรรม การใช้อุปกรณ์ช่วย ไปจนถึงการผ่าตัด ซึ่งสามารถเลือกวิธีการที่เหมาะสมได้ตามสาเหตุและระดับความรุนแรงของอาการ ดังนี้

 

การแก้อาการนอนกรนด้วยตัวเอง

นอนตะแคง

การนอนตะแคงเป็นวิธีที่แพทย์มักแนะนำ เนื่องจากช่วยป้องกันการหย่อนคล้อยของอวัยวะในช่องคอที่อาจปิดกั้นทางเดินหายใจ การใช้หมอนหรืออุปกรณ์เสริมที่ช่วยป้องกันไม่ให้นอนหงายก็เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับการนอนตะแคง

ปรับพฤติกรรมและสุขลักษณะการนอน

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวันช่วยลดอาการนอนกรนได้ เช่น

  • ออกกำลังกายเป็นประจำ แต่หลีกเลี่ยงช่วงก่อนนอน
  • นอนหลับให้เป็นเวลา และพักผ่อนอย่างน้อย 6 ชั่วโมงต่อวัน
  • งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บุหรี่ และคาเฟอีน โดยเฉพาะช่วงบ่าย
  • หลีกเลี่ยงการใช้ยานอนหลับหรือยากล่อมประสาท
  • ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน

เลือกหมอนที่เหมาะสม

หมอนที่ดีช่วยลดการนอนกรนได้ โดยควรเลือกหมอนที่มีลักษณะดังนี้

  • รองรับศีรษะและคอในท่านอนตะแคง
  • มีความสูงและความนุ่มที่พอดี
  • ผลิตจากวัสดุที่ระบายอากาศได้ดี และสามารถทำความสะอาดได้ง่าย

การรักษานอนกรนโดยไม่ผ่าตัด

แก้ไขปัญหานอนกรน ด้วยเครื่อง CPAP

เครื่อง CPAP (continuous positive airway pressure) เป็นนวัตกรรมที่ช่วยบรรเทาอาการนอนกรนและภาวะหยุดหายใจขณะหลับอย่างมีประสิทธิภาพ โดยการส่งแรงดันลมผ่านหน้ากาก เพื่อช่วยเปิดทางเดินหายใจให้โล่งขึ้น ทำให้การนอนหลับราบรื่นและเต็มอิ่มยิ่งขึ้น และยังช่วยลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากการนอนกรนในระยะยาวได้อีกด้วย

หากกำลังมองหาการดูแลแบบครบถ้วนต้นจนจบ Bangkok Sleep Center พร้อมให้บริการตรวจวินิจฉัยการนอนหลับด้วย sleep test และการปรับตั้งเครื่อง CPAP โดยทีมแพทย์เฉพาะทางผู้ชำนาญการ และยังมีการบริการให้คำปรึกษาปัญหาต่าง ๆ ของเครื่อง CPAP จากแพทย์โยตรง ดังนั้นจึงมั่นใจได้ว่าจะได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมกับผู้รับบริการแต่ละคน เพื่อการนอนหลับที่มีคุณภาพและสุขภาพที่ดีในทุกวัน

การใช้อุปกรณ์ช่วยการนอน

  • อุปกรณ์ในช่องปาก (oral appliance): ช่วยปรับตำแหน่งขากรรไกรให้อยู่ในท่าที่เหมาะสม
  • อุปกรณ์ iNAP: ใช้หลักการดูดอากาศเพื่อป้องกันการหย่อนตัวของกล้ามเนื้อในทางเดินหายใจ

แผ่นเปิดจมูก: ช่วยเปิดโพรงจมูกและลดความต้านทานของอากาศ

การบำบัดกล้ามเนื้อใบหน้าและทางเดินหายใจ (myofunctional therapy)

ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อในช่องคอและใบหน้า ลดการหย่อนคล้อยของกล้ามเนื้อ

การรักษานอนกรนโดยการผ่าตัด

หากการรักษาแบบไม่ผ่าตัดไม่ได้ผล หรือผู้ป่วยมีความผิดปกติทางโครงสร้าง แพทย์อาจแนะนำวิธีการผ่าตัด เช่น

การผ่าตัดเลื่อนกระดูกขากรรไกร

เป็นการผ่าตัดเพื่อปรับตำแหน่งกระดูกขากรรไกรบนและล่างเพื่อลดการอุดกั้นทางเดินหายใจ

การผ่าตัดตกแต่งเพดานอ่อนและลิ้นไก่ (LAUP)

โดยใช้เลเซอร์เพื่อลดเนื้อเยื่อส่วนเกินในเพดานอ่อน

การผ่าตัดแก้ไขผนังกั้นจมูกคด

เป็นการผ่าตัดเพื่อเพิ่มการไหลของอากาศผ่านช่องจมูกด้วยการปรับรูปร่างของกระดูกอ่อนและกระดูกในจมูก

การผ่าตัดต่อมทอนซิลและต่อมอะดีนอยด์

เพื่อลดเนื้อเยื่อส่วนเกินของต่อมทอนซิลและต่อมอะดีนอยด์ที่อาจเป็นสาเหตุของการกรน

การบำบัดด้วยคลื่นความถี่วิทยุ (Somnoplasty®)

เป็นการใช้พลังงานคลื่นความถี่วิทยุเพื่อทำให้เนื้อเยื่อส่วนเกินในช่องคอหดตัวลง เป็นการลดการอุดตันของทางเดินหายใจ

การป้องกันการนอนกรน

ป้องกันอาการนอนกรนได้ด้วยการปรับพฤติกรรมและดูแลสุขภาพ เช่น

  1. ควบคุมน้ำหนัก
    ลดน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานเพื่อลดไขมันบริเวณลำคอ
  2. ปรับพฤติกรรมการนอน
    • นอนหลับให้เพียงพอ
    • ฝึกนอนตะแคงเพื่อลดการอุดกั้นทางเดินหายใจ
  3. หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นก่อนนอน
    งดแอลกอฮอล์ ชา กาแฟ และบุหรี่ โดยเฉพาะในช่วงเย็น
  4. จัดสภาพแวดล้อมการนอน
    ใช้หมอนรองรับคออย่างเหมาะสมและทำความสะอาดห้องนอนสม่ำเสมอ
  5. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
    เพื่อเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อทางเดินหายใจ
  6. ตรวจสุขภาพ
    หากกรนรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางเพื่อรับการรักษา

การดูแลเหล่านี้จะช่วยลดอาการกรนและทำให้การนอนหลับดีขึ้น รวมถึงลดความเสี่ยงต่อโรคที่เกี่ยวข้องกับการนอนหลับ

รักษานอนกรน ได้ที่ “Bangkok Sleep Center”

การนอนกรนอาจดูเหมือนไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่แท้จริงแล้วสามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวได้ เช่น ความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง และภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (sleep apnea) การรักษานอนกรนสามารถทำได้ทั้งแบบไม่ผ่าตัด เช่น การใช้อุปกรณ์ CPAP ที่สามารถช่วยรักษานอนกรนได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด หรือการใส่อุปกรณ์ oral appliance รวมถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และแบบผ่าตัด เช่น การผ่าตัดปรับแต่งทางเดินหายใจหรือแก้ไขโครงสร้างของช่องจมูก

หากคุณต้องการแก้ไขปัญหาการนอนกรนอย่างตรงจุด ที่ Bangkok Sleep Center มีบริการตั้งแต่การตรวจวินิจฉัยด้วยการตรวจการนอนหลับ (sleep test)  โดยทีมแพทย์เฉพาะทางที่มีความชำนาญ เพื่อตรวจหาสาเหตุของการนอนกรน ไปจนถึงการเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมในแบบเฉพาะบุคคลอย่างตรงจุด เพื่อคืนคุณภาพการนอนหลับที่ดีและช่วยให้คุณมีสุขภาพที่แข็งแรงในทุกวัน

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ นอนกรน

อาการนอนกรนแก้ยังไง?

  • ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต: ลดน้ำหนัก, หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์ เปลี่ยนท่านอน
  • ใช้อุปกรณ์ช่วยการหายใจ: เครื่อง CPAP  หรือใส่อุปกรณ์ในช่องปาก (oral appliance)
  • รักษาทางการแพทย์: ผ่าตัดโครงสร้างทางเดินหายใจ ใช้คลื่นความถี่วิทยุ (RF)
  • ตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม: ทำ sleep test เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง

จะรู้ได้ยังไงว่าเรานอนกรน?

  • สอบถามคนรอบข้าง: ถามคนในครอบครัวหรือคู่รักเกี่ยวกับอาการกรนขณะนอนหลับ
  • ใช้เทคโนโลยีบันทึกเสียง: ลองใช้แอปพลิเคชันหรืออุปกรณ์ที่บันทึกเสียงขณะนอนหลับเพื่อตรวจสอบเสียงกรน
  • สังเกตอาการในชีวิตประจำวัน: หากรู้สึกเหนื่อยหรือง่วงในระหว่างวัน แม้ว่าจะนอนหลับเพียงพอก็ตาม ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของการนอนกรน
  • ปรึกษาแพทย์: หากมีอาการกรนร่วมกับการหยุดหายใจขณะหลับ ควรพบแพทย์เพื่อการตรวจสอบและรับการรักษาที่เหมาะสม

ทำไมนอนตะแคงแล้วยังกรน?

การนอนตะแคงสามารถช่วยลดอาการนอนกรนได้ในบางกรณี เพราะการนอนในท่านี้ช่วยเปิดทางเดินหายใจไม่ให้ถูกกดทับจากลิ้นหรือเนื้อเยื่อในคอ แต่ในบางกรณีการนอนตะแคงก็ยังไม่สามารถป้องกันอาการนอนกรนได้ เนื่องจาก

  • ปัญหาของกล้ามเนื้อคอ: หากกล้ามเนื้อในคอหย่อนคล้อยหรืออ่อนแรง แม้จะนอนตะแคงก็ยังอาจทำให้เกิดการกรนได้
  • อาการนอนกรนที่เกี่ยวข้องกับปัญหาทางเดินหายใจ: หากมีภาวะคอหอยตีบหรือปัญหาทางเดินหายใจอื่น ๆ การนอนตะแคงก็อาจไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้

ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ: ในกรณีที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ การนอนตะแคงอาจไม่สามารถแก้ไขปัญหานอนกรนได้

เด็กนอนกรน มีผลต่อไอคิว

บทความอื่นๆ

Shopping Basket