เสียงกรนในยามค่ำคืนอาจดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาหรือแค่เรื่องขำขันในบ้าน แต่คุณรู้หรือไม่ว่า “นอนกรน” อาจเป็นสัญญาณเตือนของปัญหาสุขภาพที่คาดไม่ถึง? อาการนี้ไม่ได้แค่รบกวนการนอนหลับของคนรอบข้าง แต่ยังอาจบ่งบอกถึงความผิดปกติในระบบทางเดินหายใจ หรือโรคร้ายแรง เช่น ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (sleep apnea) ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพโดยรวม
หากคุณหรือคนใกล้ตัวกำลังเผชิญปัญหานี้ที่ Bangkok Sleep Center พร้อมช่วยดูแลคุณด้วยทีมแพทย์ผู้ชำนาญการและเทคโนโลยีที่ทันสมัยในการตรวจวินิจฉัยและรักษาอาการนอนกรน ไม่ว่าจะเป็นการตรวจการนอนหลับ (sleep test) หรือการวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับคุณโดยเฉพาะ เพื่อคืนคุณภาพการนอนหลับและสุขภาพที่ดีให้กับคุณ
บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับสาเหตุของการนอนกรน และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ดูแล พร้อมคำแนะนำดี ๆ ในการแก้ไขปัญหานี้ ถ้าคุณอยากรู้ว่าการนอนกรนส่งผลต่อสุขภาพอย่างไร? ห้ามพลาดบทความนี้เด็ดขาด!
สารบัญ
- เสียงกรน เกิดจากอะไร?
- อาการนอนกรน เกิดจากสาเหตุใด?
- นอนกรน อันตรายหรือไม่?
- ผลเสียจากการนอนกรน
- ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (OSA) กับการนอนกรน
- สามีนอนกรนบ้านแทบแตก ทำอย่างไรดี?
- ผู้หญิงกับอาการนอนกรน
- เด็ก ๆ ก็มีปัญหานอนกรนและเสี่ยงหยุดหายใจขณะหลับได้ !
- คนที่มีอายุมากขึ้นยิ่งเสี่ยงมีอาการนอนกรนและหยุดหายใจขณะหลับเพิ่มขึ้น
- แก้อาการนอนกรนด้วยตัวเอง วิธีไหนดี?
- การตรวจ Sleep Test : นอนกรนหรือไม่? ไม่ใช่แค่ฟังเสียง
- แนวทางการรักษาอาการนอนกรน
- สรุป
นอนกรน (snoring) คืออะไร?
นอนกรน (snoring) คือ เสียงที่เกิดจากการสั่นสะเทือนของเนื้อเยื่อในระบบทางเดินหายใจส่วนบน เช่น ลิ้นไก่ เพดานอ่อน หรือผนังคอหอย เมื่ออากาศไหลผ่านช่องทางเดินหายใจที่แคบลง เสียงกรนจะเกิดขึ้น ซึ่งสามารถมีระดับเสียงตั้งแต่เบาจนถึงดังมาก
แม้ว่าการนอนกรนเพียงอย่างเดียวอาจจะไม่ส่งผลต่อสุขภาพมากนัก แต่ปัญหานี้มีความสัมพันธ์โดยตรงกับ ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (sleep apnea) ซึ่งเป็นภาวะที่การหายใจหยุดเป็นช่วง ๆ ระหว่างนอนหลับ ซึ่งภาวะนี้ส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อคุณภาพการนอน เช่น การนอนหลับไม่ต่อเนื่อง ร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ และยังนำไปสู่ปัญหาสุขภาพต่าง ๆ ทั้งทางร่างกาย จิตใจ และอารมณ์
นอนกรน อันตรายแค่ไหน?

ปัญหาการนอนกรนสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ การนอนกรนที่ไม่อันตรายและการนอนกรนที่อันตราย ซึ่งสามารถแบ่งได้จากอาการที่เกิดขึ้นระหว่างการนอนหลับ ได้แก่
- การนอนกรนธรรมดา
การนอนกรนที่เกิดจากการตีบแคบของทางเดินหายใจบางส่วนในขณะหลับ แม้จะยังสามารถหายใจได้ในระดับที่ไม่เป็นอันตราย แต่เสียงกรนอาจสร้างความรำคาญให้กับคนรอบข้าง และอาจส่งผลให้นอนหลับยาก จนเกิดปัญหาความสัมพันธ์ และทำให้ผู้ที่นอนกรนรู้สึกขาดความมั่นใจในตนเอง - การนอนกรนที่อันตราย
การนอนกรนที่อันตรายเกิดจากภาวะ “หยุดหายใจขณะหลับ (sleep apnea)” ซึ่งเป็นภาวะที่ทางเดินหายใจแคบลงมากจนปิดสนิทเป็นช่วง ๆ ทำให้ไม่สามารถหายใจได้ในระยะเวลาหนึ่ง การหยุดหายใจนี้จะเกิดขึ้นในระหว่างการนอนหลับ ส่งผลให้การหายใจขาดช่วง ซึ่งอาจเกิดขึ้นหลายครั้งในคืนเดียว และแต่ละครั้งที่เกิดการหยุดหายใจ ร่างกายจะขาดออกซิเจนอย่างรุนแรง ซึ่งทำให้ระบบต่าง ๆ ในร่างกายไม่ทำงานได้อย่างเต็มที่
ในช่วงที่หยุดหายใจ การนอนกรนจะดังขึ้น แล้วตามด้วยช่วงเวลาที่เงียบสนิทก่อนที่จะกลับมามีเสียงกรนอีกครั้ง ทำให้การนอนหลับไม่ต่อเนื่องและไม่สามารถพักผ่อนได้อย่างเต็มที่ ส่งผลให้ผู้ที่นอนกรนรู้สึกอ่อนเพลียในระหว่างวัน แม้จะนอนหลับเป็นเวลานานก็ตาม
นอกจากนี้ ภาวะนี้ยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านต่าง ๆ ดังนี้
- ปัญหาสุขภาพร่างกาย
การนอนกรนที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับจะทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคต่าง ๆ เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง ความดันโลหิตสูง และ ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน นอกจากนี้ยังสามารถทำให้ระบบการเผาผลาญในร่างกายทำงานได้ไม่เต็มที่ ซึ่งส่งผลให้มีความเสี่ยงต่อการเกิด โรคอ้วน และ เบาหวาน ตามมาได้ - ผลกระทบต่อจิตใจและอารมณ์
การนอนหลับที่ไม่เพียงพอและการหยุดหายใจเป็นช่วง ๆ ทำให้สมาธิและความจำลดลง ผู้ที่มีอาการนอนกรนอาจรู้สึกหงุดหงิดง่าย ซึมเศร้า หรือเครียด นอกจากนี้ยังอาจส่งผลกระทบต่อ สมรรถภาพทางเพศ โดยเฉพาะในผู้ชายที่อาจประสบกับปัญหาฮอร์โมนเพศชายลดลงจากการนอนหลับที่ไม่ต่อเนื่อง
การนอนกรนที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับจึงไม่ใช่เพียงแค่ปัญหาการนอนหลับธรรมดา แต่เป็นภาวะที่สามารถทำให้เกิดโรคร้ายแรงได้ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที
ปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้มีอาการนอนกรน
หลายปัจจัยสามารถเพิ่มความเสี่ยงในการนอนกรน ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับลักษณะทางร่างกาย พฤติกรรมการใช้ชีวิต หรือปัจจัยทางพันธุกรรม โดยปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดอาการนอนกรน ได้แก่

- น้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน
ผู้ที่มีน้ำหนักเกินมักจะมีการสะสมไขมันที่บริเวณลำคอ ซึ่งทำให้ทางเดินหายใจแคบลง และทำให้เกิดอาการนอนกรนได้ง่ายขึ้น - โรคภูมิแพ้
การมีอาการภูมิแพ้ที่เกี่ยวข้องกับจมูก เช่น คัดจมูกหรือเยื่อบุจมูกบวม จะทำให้ทางเดินหายใจส่วนบนแคบลง ซึ่งทำให้การหายใจไม่สะดวกและเป็นสาเหตุของการนอนกรน - ผนังกั้นโพรงจมูกเบี้ยวหรือคด
หากมีผนังกั้นโพรงจมูกที่เบี้ยวหรือคด อาจทำให้การหายใจผ่านจมูกไม่สะดวก ส่งผลให้เกิดการนอนกรนได้ โดยเฉพาะในช่วงที่นอนหลับ - รูปร่างหน้าหรือคางผิดปกติ
รูปร่างหน้าหรือคางที่ผิดปกติ เช่น คางเล็ก คางหลุบ หรือคางที่ไม่อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม อาจทำให้ทางเดินหายใจแคบลง และเกิดการนอนกรนได้ - ต่อมทอนซิลโต
เมื่อมีการขยายตัวของต่อมทอนซิล อาจทำให้ทางเดินหายใจแคบลงและทำให้เกิดการนอนกรน โดยเฉพาะในเด็กที่มีต่อมทอนซิลโต - ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
การดื่มแอลกอฮอล์ก่อนนอนอาจทำให้กล้ามเนื้อในลำคอผ่อนคลายหรือหย่อนมากเกินไป ส่งผลให้ทางเดินหายใจแคบลงและเกิดการนอนกรนได้ - สูบบุหรี่
การสูบบุหรี่ทำให้เยื่อบุทางเดินหายใจบวมและระคายเคือง ซึ่งทำให้เกิดอาการกรนและภาวะหยุดหายใจขณะหลับ - การใช้ยาบางชนิด
ยาบางชนิด เช่น ยานอนหลับหรือยาคลายเครียดอาจทำให้กล้ามเนื้อในลำคอผ่อนคลายและหย่อนมากเกินไป ส่งผลให้ทางเดินหายใจตีบแคบและทำให้เกิดการนอนกรน - เพศชาย
ผู้ชายมีแนวโน้มที่จะนอนกรนมากกว่าผู้หญิง 6-10 เท่า เนื่องจากผู้ชายมีไขมันบริเวณภายในลำคอมากกว่าและทางเดินหายใจแคบกว่าผู้หญิง - ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน
ผู้หญิงมักจะมีอาการนอนกรนเพิ่มขึ้นเมื่อเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนที่อาจทำให้กล้ามเนื้อในลำคออ่อนแอลง
ปัจจัยเหล่านี้สามารถทำให้คุณมีอาการนอนกรนได้ และบางปัจจัยอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ซึ่งควรได้รับการดูแลและรักษาเพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพในระยะยาว

ภาวะแทรกซ้อน ของการนอนกรน
การนอนกรนไม่ได้เป็นเพียงปัญหาที่สร้างความรำคาญ แต่ยังอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ดังนี้
- ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (sleep apnea)
- เกิดจากการตีบแคบของทางเดินหายใจจนปิดสนิท ทำให้หยุดหายใจชั่วคราว
- อาจนำไปสู่การขาดออกซิเจนในเลือด ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและสมอง
- โรคหลอดเลือดและหัวใจ
- ความดันโลหิตสูง: การขาดออกซิเจนทำให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้น
- โรคหลอดเลือดหัวใจ: เสี่ยงต่อภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน
- ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
- โรคหลอดเลือดสมอง
- การขาดออกซิเจนในเลือดซ้ำ ๆ อาจเพิ่มโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดสมอง
- ปัญหาสุขภาพจิตและอารมณ์
- อาการหงุดหงิดง่าย ซึมเศร้า หรือวิตกกังวล
- สมาธิและความจำแย่ลง ส่งผลต่อการทำงานและการเรียน
- ความเหนื่อยล้าเรื้อรัง
- การนอนหลับที่ไม่ต่อเนื่องส่งผลให้ร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ
- ทำให้รู้สึกอ่อนเพลียและไม่มีพลังงานในระหว่างวัน
- โรคอ้วนและเบาหวาน
- การพักผ่อนไม่เพียงพอทำให้การเผาผลาญอาหารลดลง อาจนำไปสู่โรคอ้วนและเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน
- ปัญหาสมรรถภาพทางเพศในผู้ชาย
- การลดลงของฮอร์โมนเพศชายจากภาวะหยุดหายใจขณะหลับ อาจส่งผลให้เสื่อมสมรรถภาพทางเพศได้
- อุบัติเหตุที่เกิดจากการง่วงนอน
- การนอนกรนที่รุนแรงอาจทำให้รู้สึกง่วงนอนในระหว่างวัน ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ เช่น อุบัติเหตุทางรถยนต์ หรือการทำงานกับเครื่องจักร
ภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า การนอนกรนไม่ใช่เรื่องเล็ก และควรได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสมโดยแพทย์เฉพาะทาง เช่น การตรวจการนอนหลับ (sleep test) เพื่อประเมินความเสี่ยงและหาวิธีจัดการที่เหมาะสมต่อไป
วิธีการรักษานอนกรน
การนอนกรนเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิต ทั้งของผู้ที่กรนเองและคนรอบข้าง วิธีการรักษาอาการนอนกรนในปัจจุบันมีหลากหลาย ตั้งแต่การปรับพฤติกรรม การใช้อุปกรณ์ช่วย ไปจนถึงการผ่าตัด ซึ่งสามารถเลือกวิธีการที่เหมาะสมได้ตามสาเหตุและระดับความรุนแรงของอาการ ดังนี้
การแก้อาการนอนกรนด้วยตัวเอง
นอนตะแคง
การนอนตะแคงเป็นวิธีที่แพทย์มักแนะนำ เนื่องจากช่วยป้องกันการหย่อนคล้อยของอวัยวะในช่องคอที่อาจปิดกั้นทางเดินหายใจ การใช้หมอนหรืออุปกรณ์เสริมที่ช่วยป้องกันไม่ให้นอนหงายก็เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับการนอนตะแคง
ปรับพฤติกรรมและสุขลักษณะการนอน
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวันช่วยลดอาการนอนกรนได้ เช่น
- ออกกำลังกายเป็นประจำ แต่หลีกเลี่ยงช่วงก่อนนอน
- นอนหลับให้เป็นเวลา และพักผ่อนอย่างน้อย 6 ชั่วโมงต่อวัน
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บุหรี่ และคาเฟอีน โดยเฉพาะช่วงบ่าย
- หลีกเลี่ยงการใช้ยานอนหลับหรือยากล่อมประสาท
- ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
เลือกหมอนที่เหมาะสม
หมอนที่ดีช่วยลดการนอนกรนได้ โดยควรเลือกหมอนที่มีลักษณะดังนี้
- รองรับศีรษะและคอในท่านอนตะแคง
- มีความสูงและความนุ่มที่พอดี
- ผลิตจากวัสดุที่ระบายอากาศได้ดี และสามารถทำความสะอาดได้ง่าย
การรักษานอนกรนโดยไม่ผ่าตัด

แก้ไขปัญหานอนกรน ด้วยเครื่อง CPAP
เครื่อง CPAP (continuous positive airway pressure) เป็นนวัตกรรมที่ช่วยบรรเทาอาการนอนกรนและภาวะหยุดหายใจขณะหลับอย่างมีประสิทธิภาพ โดยการส่งแรงดันลมผ่านหน้ากาก เพื่อช่วยเปิดทางเดินหายใจให้โล่งขึ้น ทำให้การนอนหลับราบรื่นและเต็มอิ่มยิ่งขึ้น และยังช่วยลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากการนอนกรนในระยะยาวได้อีกด้วย
หากกำลังมองหาการดูแลแบบครบถ้วนต้นจนจบ Bangkok Sleep Center พร้อมให้บริการตรวจวินิจฉัยการนอนหลับด้วย sleep test และการปรับตั้งเครื่อง CPAP โดยทีมแพทย์เฉพาะทางผู้ชำนาญการ และยังมีการบริการให้คำปรึกษาปัญหาต่าง ๆ ของเครื่อง CPAP จากแพทย์โยตรง ดังนั้นจึงมั่นใจได้ว่าจะได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมกับผู้รับบริการแต่ละคน เพื่อการนอนหลับที่มีคุณภาพและสุขภาพที่ดีในทุกวัน
การใช้อุปกรณ์ช่วยการนอน
- อุปกรณ์ในช่องปาก (oral appliance): ช่วยปรับตำแหน่งขากรรไกรให้อยู่ในท่าที่เหมาะสม
- อุปกรณ์ iNAP: ใช้หลักการดูดอากาศเพื่อป้องกันการหย่อนตัวของกล้ามเนื้อในทางเดินหายใจ
แผ่นเปิดจมูก: ช่วยเปิดโพรงจมูกและลดความต้านทานของอากาศ
การบำบัดกล้ามเนื้อใบหน้าและทางเดินหายใจ (myofunctional therapy)
ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อในช่องคอและใบหน้า ลดการหย่อนคล้อยของกล้ามเนื้อ
การรักษานอนกรนโดยการผ่าตัด
หากการรักษาแบบไม่ผ่าตัดไม่ได้ผล หรือผู้ป่วยมีความผิดปกติทางโครงสร้าง แพทย์อาจแนะนำวิธีการผ่าตัด เช่น
การผ่าตัดเลื่อนกระดูกขากรรไกร
เป็นการผ่าตัดเพื่อปรับตำแหน่งกระดูกขากรรไกรบนและล่างเพื่อลดการอุดกั้นทางเดินหายใจ
การผ่าตัดตกแต่งเพดานอ่อนและลิ้นไก่ (LAUP)
โดยใช้เลเซอร์เพื่อลดเนื้อเยื่อส่วนเกินในเพดานอ่อน
การผ่าตัดแก้ไขผนังกั้นจมูกคด
เป็นการผ่าตัดเพื่อเพิ่มการไหลของอากาศผ่านช่องจมูกด้วยการปรับรูปร่างของกระดูกอ่อนและกระดูกในจมูก
การผ่าตัดต่อมทอนซิลและต่อมอะดีนอยด์
เพื่อลดเนื้อเยื่อส่วนเกินของต่อมทอนซิลและต่อมอะดีนอยด์ที่อาจเป็นสาเหตุของการกรน
การบำบัดด้วยคลื่นความถี่วิทยุ (Somnoplasty®)
เป็นการใช้พลังงานคลื่นความถี่วิทยุเพื่อทำให้เนื้อเยื่อส่วนเกินในช่องคอหดตัวลง เป็นการลดการอุดตันของทางเดินหายใจ
การป้องกันการนอนกรน
ป้องกันอาการนอนกรนได้ด้วยการปรับพฤติกรรมและดูแลสุขภาพ เช่น
- ควบคุมน้ำหนัก
ลดน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานเพื่อลดไขมันบริเวณลำคอ - ปรับพฤติกรรมการนอน
- นอนหลับให้เพียงพอ
- ฝึกนอนตะแคงเพื่อลดการอุดกั้นทางเดินหายใจ
- หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นก่อนนอน
งดแอลกอฮอล์ ชา กาแฟ และบุหรี่ โดยเฉพาะในช่วงเย็น - จัดสภาพแวดล้อมการนอน
ใช้หมอนรองรับคออย่างเหมาะสมและทำความสะอาดห้องนอนสม่ำเสมอ - ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
เพื่อเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อทางเดินหายใจ - ตรวจสุขภาพ
หากกรนรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางเพื่อรับการรักษา
การดูแลเหล่านี้จะช่วยลดอาการกรนและทำให้การนอนหลับดีขึ้น รวมถึงลดความเสี่ยงต่อโรคที่เกี่ยวข้องกับการนอนหลับ
รักษานอนกรน ได้ที่ “Bangkok Sleep Center”
การนอนกรนอาจดูเหมือนไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่แท้จริงแล้วสามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวได้ เช่น ความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง และภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (sleep apnea) การรักษานอนกรนสามารถทำได้ทั้งแบบไม่ผ่าตัด เช่น การใช้อุปกรณ์ CPAP ที่สามารถช่วยรักษานอนกรนได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด หรือการใส่อุปกรณ์ oral appliance รวมถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และแบบผ่าตัด เช่น การผ่าตัดปรับแต่งทางเดินหายใจหรือแก้ไขโครงสร้างของช่องจมูก
หากคุณต้องการแก้ไขปัญหาการนอนกรนอย่างตรงจุด ที่ Bangkok Sleep Center มีบริการตั้งแต่การตรวจวินิจฉัยด้วยการตรวจการนอนหลับ (sleep test) โดยทีมแพทย์เฉพาะทางที่มีความชำนาญ เพื่อตรวจหาสาเหตุของการนอนกรน ไปจนถึงการเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมในแบบเฉพาะบุคคลอย่างตรงจุด เพื่อคืนคุณภาพการนอนหลับที่ดีและช่วยให้คุณมีสุขภาพที่แข็งแรงในทุกวัน
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ นอนกรน
อาการนอนกรนแก้ยังไง?
- ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต: ลดน้ำหนัก, หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์ เปลี่ยนท่านอน
- ใช้อุปกรณ์ช่วยการหายใจ: เครื่อง CPAP หรือใส่อุปกรณ์ในช่องปาก (oral appliance)
- รักษาทางการแพทย์: ผ่าตัดโครงสร้างทางเดินหายใจ ใช้คลื่นความถี่วิทยุ (RF)
- ตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม: ทำ sleep test เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง
จะรู้ได้ยังไงว่าเรานอนกรน?
- สอบถามคนรอบข้าง: ถามคนในครอบครัวหรือคู่รักเกี่ยวกับอาการกรนขณะนอนหลับ
- ใช้เทคโนโลยีบันทึกเสียง: ลองใช้แอปพลิเคชันหรืออุปกรณ์ที่บันทึกเสียงขณะนอนหลับเพื่อตรวจสอบเสียงกรน
- สังเกตอาการในชีวิตประจำวัน: หากรู้สึกเหนื่อยหรือง่วงในระหว่างวัน แม้ว่าจะนอนหลับเพียงพอก็ตาม ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของการนอนกรน
- ปรึกษาแพทย์: หากมีอาการกรนร่วมกับการหยุดหายใจขณะหลับ ควรพบแพทย์เพื่อการตรวจสอบและรับการรักษาที่เหมาะสม
ทำไมนอนตะแคงแล้วยังกรน?
การนอนตะแคงสามารถช่วยลดอาการนอนกรนได้ในบางกรณี เพราะการนอนในท่านี้ช่วยเปิดทางเดินหายใจไม่ให้ถูกกดทับจากลิ้นหรือเนื้อเยื่อในคอ แต่ในบางกรณีการนอนตะแคงก็ยังไม่สามารถป้องกันอาการนอนกรนได้ เนื่องจาก
- ปัญหาของกล้ามเนื้อคอ: หากกล้ามเนื้อในคอหย่อนคล้อยหรืออ่อนแรง แม้จะนอนตะแคงก็ยังอาจทำให้เกิดการกรนได้
- อาการนอนกรนที่เกี่ยวข้องกับปัญหาทางเดินหายใจ: หากมีภาวะคอหอยตีบหรือปัญหาทางเดินหายใจอื่น ๆ การนอนตะแคงก็อาจไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้
ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ: ในกรณีที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ การนอนตะแคงอาจไม่สามารถแก้ไขปัญหานอนกรนได้
