เราอยากให้ทุกคนมีสุขภาพการนอนที่ดี
กรุงเทพ สลีป เซ็นเตอร์
อาการนอนไม่หลับเป็นอาการหนึ่งที่พบได้บ่อยในยุคนี้ ด้วยพฤติกรรมการใช้ชีวิตของผู้คนที่เปลี่ยนไป การทำงานที่ต้องใช้ความคิดมากขึ้น ส่งผลต่ออารมณ์ เกิดความเครียดสะสม สวนทางกับเวลาดูแลตัวเองที่ลดน้อยลง ส่งผลเสียต่อร่างกาย สภาพจิตใจ และกระทบกับ “การนอนหลับ” ในที่สุด
“ข้อมูลปี 2563 จากกรมสุขภาพจิต พบว่า มีคนไทยมากกว่า 19 ล้านที่มีปัญหานอนไม่หลับ เทียบเป็นสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 20-30 ของประชากร และที่น่ากังวลคือ ยังพบอาการนี้ได้ในทุกช่วงวัยอีกด้วย”
ในปัจจุบัน การรักษาโรคนอนไม่หลับ มีหลากหลายวิธี แนวทางการรักษาด้านจิตวิทยาได้ถูกนำมาใช้มากขึ้น หนึ่งในนั้นคือ การบำบัดอาการนอนไม่หลับด้วยการปรับพฤติกรรม และปรับเปลี่ยนความคิด ที่เรียกว่า “CBT-I (Cognitive Behavioral Therapy for Insomnia) ” ซึ่งมีงานวิจัยจำนวนมากสนับสนุนว่า CBT-I เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการรักษาภาวะนอนไม่หลับ
หากท่านกำลังเผชิญกับปัญหานี้อยู่ นี่อาจเป็นหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ…
โรคนอนไม่หลับ หรือ Insomnia เป็นโรคที่ทำให้เราเกิดความยากลำบากอย่างยิ่งในการนอน อาจเกิดขึ้นได้ 3 ลักษณะ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือเกิดร่วมกัน อันได้แก่
นอกจากนี้ ยังพบอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นระหว่างวัน ดังนี้
อาการนอนไม่หลับ หากเกิดขึ้นช่วงสั้น ๆ ไม่กี่คืน หรือเกิดได้เป็นสัปดาห์ มักเกิดจากความเครียด ความตื่นเต้น อยู่ในภาวะเจ็บป่วย ไม่คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อม หรือร่างกายพึ่งผ่านระยะการกระตุ้นมาไม่นานก่อนเข้านอน เช่น พึ่งออกกำลังกายช่วงหัวค่ำ เราเรียกอาการนี้ว่า โรคนอนไม่หลับจากปัญหาการปรับตัว (Adjustment Insomnia) เป็นภาวะที่ไม่น่ากังวล หากเริ่มปรับตัวหรือผ่อนคลายลงแล้ว จะกลับมานอนหลับได้ตามปกติ
แต่ถ้าอาการนอนไม่หลับที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างน้อย 3 คืน/สัปดาห์ เป็นเวลานานมากกว่า 3 เดือน จะเรียกว่า โรคนอนไม่หลับเรื้อรัง (Chronic insomnia) อาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ โรคผิดปกติเกี่ยวกับการนอนหลับ รวมถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่เหมาะสม
เมื่อมีอาการเช่นนี้นานวันเข้า จะเริ่มส่งผลให้เราเกิดความวิตกกังวลเกี่ยวกับความผิดปกติในการนอนหลับของตัวเอง ซึ่งยิ่งซ้ำเติมให้การนอนหลับยากลำบากมากยิ่งขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นปัญหานอนไม่หลับประเภทใดก็ตาม เราไม่จำเป็นต้องรอดูอาการเป็นเดือน มีข้อแนะนำว่า หากมีอาการดังกล่าวติดต่อกัน 2 สัปดาห์ขึ้นไป ควรมาพบแพทย์เพื่อปรึกษาและวางแผนการรักษาโรคนอนไม่หลับได้ทันที
Cognitive Behavioral Therapy for Insomnia หรือ CBT-I คือ การรักษาโรคนอนไม่หลับโดยไม่ใช้ยา แต่จะบำบัดโดยการปรับพฤติกรรมและปรับเปลี่ยนความคิด โดยใช้วิทยาศาสตร์ของการนอนหลับเป็นฐานความรู้ ร่วมกับหลักการทางจิตวิทยา
เวลาที่เราใช้ชีวิตไปเรื่อย ๆ และต้องผ่านเหตุการณ์ต่าง ๆ เรามักจะตัดสิน มีความเชื่อ หรือมีความรู้สึกนึกคิดต่อสิ่งต่าง ๆ ที่บิดเบือนไปจากความจริง (dysfunctional thinking) หลาย ๆ ครั้งความเชื่อเหล่านี้ก็กลับมาสร้างผลกระทบทางลบต่ออารมณ์และความรู้สึกของเราเอง
ดังนั้น ในทางจิตวิทยาจึงมีหลักการการบำบัดว่า ถ้าสามารถช่วยให้ผู้ป่วย ประเมินความคิดให้ถูกต้อง สอดคล้องกับความเป็นจริงต่าง ๆ ได้ และเริ่มจับสังเกตเห็นรูปแบบความคิดที่บิดเบือนไปจากความจริง อาการที่ผิดปกติทางด้านจิตใจและพฤติกรรมต่าง ๆ ของผู้ป่วยก็จะดีขึ้น
CBT-I เป็นแนวทางรักษาที่ต่อยอดมาจาก CBT ที่ใช้หลักการข้างต้นนี้ ในช่วงแรก CBT-I ถูกออกแบบมาเพื่อรักษาโรคซึมเศร้า เรียกว่า CBT (Cognitive Behavioral Therapy) เมื่อการใช้รักษาโรคซึมเศร้าได้ผลดี และมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับชัดเจน จึงได้มีการนำไปประยุกต์ใช้รักษาเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจิต และการใช้ชีวิตในด้านอื่น ๆ
ต่อมาจึงประยุกต์ CBT เพื่อรักษาอาการนอนไม่หลับโดยเฉพาะด้วย โดยการผสมผสานเทคนิคหลายด้านที่เกี่ยวกับการปรับความคิดและพฤติกรรมของผู้ป่วย และมุ่งเน้นไปที่การค้นหาความเชื่อมโยงระหว่างวิธีที่เราคิด สิ่งที่เราทำ และวิธีที่เรานอนหลับ
การรักษาโดยวิธีนี้เป็นแนวทางการรักษาที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล และมีการศึกษามากมายที่พบว่าเป็นรักษาที่มีประสิทธิภาพดี โดยไม่ต้องรักษาร่วมกับการใช้ยาเหมือนการรักษาอาการนอนไม่หลับในอดีต
แม้ว่าการรักษาร่วมกับการใช้ยาจะเป็นการรักษาระยะสั้นที่มีประสิทธิผล เพราะสามารถบรรเทาอาการเราได้ทันทีเวลาที่มีความเครียดหรือความตื่นตัวสูง แต่อาจไม่ใช่วิธีรักษาอาการนอนไม่หลับในระยะยาวที่ดีที่สุด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสาเหตุที่นอนไม่หลับของผู้ป่วยแต่ละราย
แพทย์หรือนักจิตวิทยาจะสอบถามและทดสอบ เพื่อดูว่าพฤติกรรมใดส่งเสริมการนอนหลับ หรือส่งเสริมให้เกิดปัญหาการนอนหลับกับตัวผู้ป่วย แล้วหาสาเหตุทางด้านความคิด ความรู้สึก และพฤติกรรมที่นำไปสู่อาการนอนไม่หลับได้ในท้ายที่สุด
โดยในระหว่างการรักษา แพทย์อาจแนะนำเทคนิคสำคัญที่ช่วยในการรักษาโรคนอนไม่หลับ ได้แก่
นอกจากนี้ ยังมีเทคนิค CBT-I อีกมาก ที่แพทย์หรือนักจิตวิทยาอาจเลือกนำมาใช้ในการรักษาผู้ป่วยโรคนอนไม่หลับ ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายและจิตใจ รวมถึงสาเหตุที่เกิดโรคของผู้ป่วยด้วย
CBT-I เหมาะกับผู้ป่วยโรคนอนไม่หลับที่ไม่เคยพบแพทย์มาก่อน หรือแม้แต่ผู้ป่วยที่เคยรักษาโรคนอนไม่หลับด้วยยามาแล้ว (แต่ยังไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดีนัก) ก็สามารถเข้ารับการรักษาด้วยวิธี CBT-I ได้ นอกจากนี้ ยังพบหลักฐานสนับสนุนว่า การรักษาด้วยวิธี CBT-I มีผลการรักษาโรคนอนไม่หลับในระยะยาวดีกว่าการใช้ยา benzodiazepine และ nonbenzodiazepine อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม มีข้อแนะนำให้ผู้ป่วยปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อวางแผนการรักษา เนื่องจากในบางรายที่มีอาการรุนแรง จำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยยาก่อน จนอาการทุเลาลงแล้วจึงเข้ารับการรักษาด้วย CBT-I ต่อไปได้
การรักษาจะเริ่มจากผู้ป่วยเข้ามาพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านการนอนหลับ เพื่อวินิจฉัยแยกโรคว่าอาการนอนไม่หลับของคนไข้ มีแนวโน้มมาจากสาเหตุอะไร
เมื่อแพทย์วินิจฉัยแยกโรคได้แล้วว่า ผู้ป่วยนอนไม่หลับเพราะโรคนอนไม่หลับจริง ๆ เช่น เกิดการตื่นตัวของร่างกาย หรือเพราะมีพฤติกรรมที่ไม่ดีทั้งช่วงเวลานอน ก็จะส่งให้มารับการรักษาโดยวิธี CBT-I โดยนักจิตวิทยาหรือนักบำบัดต่อไป
ขั้นตอนการรักษาโรคนอนไม่หลับ แพทย์จะใช้การพูดคุย การให้ความรู้ และการปรับเปลี่ยนความคิดและพฤติกรรม รวมถึงไลฟ์สไตล์ของผู้ป่วย โดยมีการสร้างความร่วมมือเพื่อบรรลุเป้าหมายร่วมกัน เช่น สามารถหลับได้เร็ว การนอนหลับมีความต่อเนื่อง และมีคุณภาพการนอนหลับที่ดี เหมาะสมตามศักยภาพของผู้รับการบำบัด
การรักษาโรคนอนไม่หลับ จะใช้การพบกันประมาณ 6-8 ครั้ง ครั้งละประมาณ 45-60 นาที ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้
ครั้งที่ 1 แจ้งแนวทางรักษา ประเมินปัญหา : จะเป็นการสัมภาษณ์ประวัติเบื้องต้น ทำชุดแบบทดสอบเพื่อประเมินปัญหา และการทำบันทึกประจำวันด้านการนอนหลับ เพื่อวางแผนการรักษาในครั้งถัดไป
ครั้งที่ 2-4 ปรับเปลี่ยนโดยใช้กลยุทธ์ต่าง ๆ :เป็นการรักษาโดยใช้การปรับพฤติกรรมการเข้านอนและตื่นนอน ที่สอดคล้องกับนาฬิกาชีวิต (Body Clock) หรือนาฬิกาชีวภาพ (Biological clock) ของผู้รับบริการ โดยใช้เทคนิคการปรับพฤติกรรมเมื่อต้องเผชิญปัญหาการนอนไม่หลับ ตลอดจนการปรับปรุงแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ของแต่ละบุคคลที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการบำบัดรักษา
ครั้งที่ 5 ฝึกฝนการผ่อนคลาย : ฝึกฝนเทคนิคการผ่อนคลายและการจัดการความเครียด เพิ่มเพิ่มพูนศักยภาพในการนอนให้ดียิ่งขึ้น ลดภาวะการตื่นตัวของระบบประสาทอัตโนมิติที่ส่งผลให้การนอนหลับเกิดขึ้นยาก
ครั้งที่ 6 – 8 คงไว้ซึ่งผลดีของการรักษา : การทำงานร่วมกันโดยใช้การปรับความคิด หรือวิธีคิดที่ส่งผลให้การนอนหลับถูกรบกวน โดยใช้การรู้คิดและพฤติกรรมบำบัด (CBT) เพื่อสร้างเสริมทักษะให้สามารถจัดการปัญหาได้ด้วยตนเอง
ไม่มีใครอยากเป็นโรคนี้ และทุกคนล้วนอยากหายขาดจากอาการนอนไม่หลับ แต่ถ้าเรามุ่งไปที่การแก้ไขอาการเลย โดยเฉพาะการซื้อยากินเอง ทั้ง ๆ ที่สาเหตุยังไม่ถูกแก้ไขอย่างถูกต้อง ก็มีโอกาสที่จะไม่หายขาด ต้องใช้ยาต่อเนื่อง เมื่อหยุดใช้ยาก็อาจกลับมาเป็นซ้ำ
นอกจากนี้ อาจเกิดผลข้างเคียงของยาจากการใช้ยาไม่ถูกต้อง เกิดผลกระทบต่อร่างกายในระยะยาวได้ อีกทั้ง ยังมีโอกาสทำให้โรคนอนไม่หลับเป็นหนักขึ้น หรือเรื้อรังมากขึ้นได้อีกด้วย
การนอนไม่หลับ เป็นอาการที่เกิดได้จากหลายสาเหตุ ดังนั้น การมาพบแพทย์หรือนักจิตวิทยาที่ชำนาญการเฉพาะด้าน และได้รับการวินิจฉัยอย่างถี่ถ้วน เพื่อแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุดจึงเป็นสิ่งสำคัญ จะเป็นแนวทางที่ปลอดภัยและมีโอกาสรักษาให้หายขาดได้มากกว่า
การรักษาโรคนอนไม่หลับที่กรุงเทพ สลีป เซนเตอร์ จะมีบริการรักษาโรคนอนไม่หลับแบบ CBT-I โดยนักจิตวิทยาคลินิกที่มีใบอนุญาตประกอบโรคศิลปะ ที่ผ่านการศึกษาด้านการนอนหลับมาโดยเฉพาะ รวมถึงการศึกษาในด้านที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ จิตบำบัดความคิดและพฤติกรรม จิตวิทยาคลินิกและชุมชน ปรัชญาและศาสนา
หากท่านใดสนใจรักษาโรคนอนไม่หลับ ต้องการปรึกษาหรือเข้ารับการตรวจ สามารถติดต่อเข้ามาได้ที่ช่องทางติดต่อต่าง ๆ ของเรา
โรคนอนไม่หลับ (Insomnia) เป็นความผิดปกติของการนอนหลับที่ทำให้หลับยาก หลับไม่ทน หรือทำให้เราต้องตื่นขึ้นมาเร็วกว่าเวลาอันสมควร และกำลังเป็นโรคที่ผู้คนเป็นกันมากขึ้นในยุคนี้
แนวทางการรักษาโรคนอนไม่หลับด้วยวิธี Cognitive Behavioral Therapy for Insomnia ที่เรียกว่า CBT-I เป็นแนวทางรักษาโรคนอนไม่หลับที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในกรณีที่มีอาการเรื้อรัง ในปัจจุบันกำลังเป็นที่นิยมมากขึ้น โดยเฉพาะในการแพทย์ตะวันตก เพราะมีงานวิจัยและการศึกษาที่ยืนยันประสิทธิภาพการรักษาด้วยวิธีดังกล่าวว่าได้ผลลัพธ์ที่ดี
อย่างไรก็ดี เนื่องจากแนวทางการรักษาโรคนอนไม่หลับของแต่ละคนอาจแตกต่างกันไปตามสภาพร่างกาย สภาพจิตใจและปูมหลังของผู้ป่วย ดังนั้น หากมีอาการและสงสัยว่า นอนไม่หลับทำอย่างไรดี? มีข้อแนะนำ คือ ผู้ที่มีอาการนอนไม่หลับอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 2 สัปดาห์ขึ้นไป ควรเข้ารับการปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อน เพื่อวินิจฉัยถึงสาเหตุอาการต่าง ๆ และนำไปสู่การวางแผนการรักษาได้อย่างเหมาะสม
ศูนย์ Sleep lab ยินดีให้บริการ และพร้อมให้คำปรึกษาโรคนอนไม่หลับ (Insomnia) แก้ไขปัญหานอนกรน แก้อาการนอนกรน ผู้หญิง-ผู้ชาย พร้อมบริการรักษาภาวะนอนกรน และหยุดหายใจขณะหลับชนิดอุดกั้น (Obstructive Sleep Apnea) โดยการใช้เครื่องอัดอากาศแรงดันบวก (CPAP) โดยแพทย์เฉพาะทางที่ได้รับการรับรองจาก American Board of Sleep Medicine และเจ้าหน้าที่ ที่คอยให้บริการอย่างอบอุ่น สุภาพ และเป็นกันเอง ในบรรยากาศที่พักส่วนตัวที่เงียบสงบ และร่มรื่น
อาการนอนไม่หลับเป็นอาการหนึ่งที่พบได้บ่อยในยุคนี้ ด้วยพฤติกรรมการใช้ชีวิตของผู้คนที่เปลี่ยนไป การทำงานที่ต้องใช้ความคิดมากขึ้น ส่งผลต่ออารมณ์ เกิดความเครียดสะสม สวนทางกับเวลาดูแลตัวเองที่ลดน้อยลง ส่งผลเสียต่อร่างกาย สภาพจิตใจ และกระทบกับ “การนอนหลับ” ในที่สุด
“ข้อมูลปี 2563 จากกรมสุขภาพจิต พบว่า มีคนไทยมากกว่า 19 ล้านที่มีปัญหานอนไม่หลับ เทียบเป็นสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 20-30 ของประชากร และที่น่ากังวลคือ ยังพบอาการนี้ได้ในทุกช่วงวัยอีกด้วย”
ในปัจจุบัน การรักษาโรคนอนไม่หลับ มีหลากหลายวิธี แนวทางการรักษาด้านจิตวิทยาได้ถูกนำมาใช้มากขึ้น หนึ่งในนั้นคือ การบำบัดอาการนอนไม่หลับด้วยการปรับพฤติกรรม และปรับเปลี่ยนความคิด ที่เรียกว่า “CBT-I (Cognitive Behavioral Therapy for Insomnia) ” ซึ่งมีงานวิจัยจำนวนมากสนับสนุนว่า CBT-I เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการรักษาภาวะนอนไม่หลับ
หากท่านกำลังเผชิญกับปัญหานี้อยู่ นี่อาจเป็นหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ…
โรคนอนไม่หลับ หรือ Insomnia เป็นโรคที่ทำให้เราเกิดความยากลำบากอย่างยิ่งในการนอน อาจเกิดขึ้นได้ 3 ลักษณะ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือเกิดร่วมกัน อันได้แก่
นอกจากนี้ ยังพบอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นระหว่างวัน ดังนี้
อาการนอนไม่หลับ หากเกิดขึ้นช่วงสั้น ๆ ไม่กี่คืน หรือเกิดได้เป็นสัปดาห์ มักเกิดจากความเครียด ความตื่นเต้น อยู่ในภาวะเจ็บป่วย ไม่คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อม หรือร่างกายพึ่งผ่านระยะการกระตุ้นมาไม่นานก่อนเข้านอน เช่น พึ่งออกกำลังกายช่วงหัวค่ำ เราเรียกอาการนี้ว่า โรคนอนไม่หลับจากปัญหาการปรับตัว (Adjustment Insomnia) เป็นภาวะที่ไม่น่ากังวล หากเริ่มปรับตัวหรือผ่อนคลายลงแล้ว จะกลับมานอนหลับได้ตามปกติ
แต่ถ้าอาการนอนไม่หลับที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างน้อย 3 คืน/สัปดาห์ เป็นเวลานานมากกว่า 3 เดือน จะเรียกว่า โรคนอนไม่หลับเรื้อรัง (Chronic insomnia) อาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ โรคผิดปกติเกี่ยวกับการนอนหลับ รวมถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่เหมาะสม
เมื่อมีอาการเช่นนี้นานวันเข้า จะเริ่มส่งผลให้เราเกิดความวิตกกังวลเกี่ยวกับความผิดปกติในการนอนหลับของตัวเอง ซึ่งยิ่งซ้ำเติมให้การนอนหลับยากลำบากมากยิ่งขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นปัญหานอนไม่หลับประเภทใดก็ตาม เราไม่จำเป็นต้องรอดูอาการเป็นเดือน มีข้อแนะนำว่า หากมีอาการดังกล่าวติดต่อกัน 2 สัปดาห์ขึ้นไป ควรมาพบแพทย์เพื่อปรึกษาและวางแผนการรักษาโรคนอนไม่หลับได้ทันที
Cognitive Behavioral Therapy for Insomnia หรือ CBT-I คือ การรักษาโรคนอนไม่หลับโดยไม่ใช้ยา แต่จะบำบัดโดยการปรับพฤติกรรมและปรับเปลี่ยนความคิด โดยใช้วิทยาศาสตร์ของการนอนหลับเป็นฐานความรู้ ร่วมกับหลักการทางจิตวิทยา
เวลาที่เราใช้ชีวิตไปเรื่อย ๆ และต้องผ่านเหตุการณ์ต่าง ๆ เรามักจะตัดสิน มีความเชื่อ หรือมีความรู้สึกนึกคิดต่อสิ่งต่าง ๆ ที่บิดเบือนไปจากความจริง (dysfunctional thinking) หลาย ๆ ครั้งความเชื่อเหล่านี้ก็กลับมาสร้างผลกระทบทางลบต่ออารมณ์และความรู้สึกของเราเอง
ดังนั้น ในทางจิตวิทยาจึงมีหลักการการบำบัดว่า ถ้าสามารถช่วยให้ผู้ป่วย ประเมินความคิดให้ถูกต้อง สอดคล้องกับความเป็นจริงต่าง ๆ ได้ และเริ่มจับสังเกตเห็นรูปแบบความคิดที่บิดเบือนไปจากความจริง อาการที่ผิดปกติทางด้านจิตใจและพฤติกรรมต่าง ๆ ของผู้ป่วยก็จะดีขึ้น
CBT-I เป็นแนวทางรักษาที่ต่อยอดมาจาก CBT ที่ใช้หลักการข้างต้นนี้ ในช่วงแรก CBT-I ถูกออกแบบมาเพื่อรักษาโรคซึมเศร้า เรียกว่า CBT (Cognitive Behavioral Therapy) เมื่อการใช้รักษาโรคซึมเศร้าได้ผลดี และมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับชัดเจน จึงได้มีการนำไปประยุกต์ใช้รักษาเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจิต และการใช้ชีวิตในด้านอื่น ๆ
ต่อมาจึงประยุกต์ CBT เพื่อรักษาอาการนอนไม่หลับโดยเฉพาะด้วย โดยการผสมผสานเทคนิคหลายด้านที่เกี่ยวกับการปรับความคิดและพฤติกรรมของผู้ป่วย และมุ่งเน้นไปที่การค้นหาความเชื่อมโยงระหว่างวิธีที่เราคิด สิ่งที่เราทำ และวิธีที่เรานอนหลับ
การรักษาโดยวิธีนี้เป็นแนวทางการรักษาที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล และมีการศึกษามากมายที่พบว่าเป็นรักษาที่มีประสิทธิภาพดี โดยไม่ต้องรักษาร่วมกับการใช้ยาเหมือนการรักษาอาการนอนไม่หลับในอดีต
แม้ว่าการรักษาร่วมกับการใช้ยาจะเป็นการรักษาระยะสั้นที่มีประสิทธิผล เพราะสามารถบรรเทาอาการเราได้ทันทีเวลาที่มีความเครียดหรือความตื่นตัวสูง แต่อาจไม่ใช่วิธีรักษาอาการนอนไม่หลับในระยะยาวที่ดีที่สุด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสาเหตุที่นอนไม่หลับของผู้ป่วยแต่ละราย
แพทย์หรือนักจิตวิทยาจะสอบถามและทดสอบ เพื่อดูว่าพฤติกรรมใดส่งเสริมการนอนหลับ หรือส่งเสริมให้เกิดปัญหาการนอนหลับกับตัวผู้ป่วย แล้วหาสาเหตุทางด้านความคิด ความรู้สึก และพฤติกรรมที่นำไปสู่อาการนอนไม่หลับได้ในท้ายที่สุด
โดยในระหว่างการรักษา แพทย์อาจแนะนำเทคนิคสำคัญที่ช่วยในการรักษาโรคนอนไม่หลับ ได้แก่
การฝึกผ่อนคลาย (Relaxation training) : เป็นการฝึกฝนที่ช่วยให้เราสงบจิตใจและร่างกายของตัวเอง เพื่อลดความตื่นเต้นหรือความกังวล ไม่ว่าจะเป็น การทำสมาธิ การนึกภาพ (imaginary training) การฝึกการหายใจ และการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังมีเทคนิค CBT-I อีกมาก ที่แพทย์หรือนักจิตวิทยาอาจเลือกนำมาใช้ในการรักษาผู้ป่วยโรคนอนไม่หลับ ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายและจิตใจ รวมถึงสาเหตุที่เกิดโรคของผู้ป่วยด้วย
CBT-I เหมาะกับผู้ป่วยโรคนอนไม่หลับที่ไม่เคยพบแพทย์มาก่อน หรือแม้แต่ผู้ป่วยที่เคยรักษาโรคนอนไม่หลับด้วยยามาแล้ว (แต่ยังไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดีนัก) ก็สามารถเข้ารับการรักษาด้วยวิธี CBT-I ได้ นอกจากนี้ ยังพบหลักฐานสนับสนุนว่า การรักษาด้วยวิธี CBT-I มีผลการรักษาโรคนอนไม่หลับในระยะยาวดีกว่าการใช้ยา benzodiazepine และ nonbenzodiazepine อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม มีข้อแนะนำให้ผู้ป่วยปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อวางแผนการรักษา เนื่องจากในบางรายที่มีอาการรุนแรง จำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยยาก่อน จนอาการทุเลาลงแล้วจึงเข้ารับการรักษาด้วย CBT-I ต่อไปได้
การรักษาจะเริ่มจากผู้ป่วยเข้ามาพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านการนอนหลับ เพื่อวินิจฉัยแยกโรคว่าอาการนอนไม่หลับของคนไข้ มีแนวโน้มมาจากสาเหตุอะไร
เมื่อแพทย์วินิจฉัยแยกโรคได้แล้วว่า ผู้ป่วยนอนไม่หลับเพราะโรคนอนไม่หลับจริง ๆ เช่น เกิดการตื่นตัวของร่างกาย หรือเพราะมีพฤติกรรมที่ไม่ดีทั้งช่วงเวลานอน ก็จะส่งให้มารับการรักษาโดยวิธี CBT-I โดยนักจิตวิทยาหรือนักบำบัดต่อไป
ขั้นตอนการรักษาโรคนอนไม่หลับ แพทย์จะใช้การพูดคุย การให้ความรู้ และการปรับเปลี่ยนความคิดและพฤติกรรม รวมถึงไลฟ์สไตล์ของผู้ป่วย โดยมีการสร้างความร่วมมือเพื่อบรรลุเป้าหมายร่วมกัน เช่น สามารถหลับได้เร็ว การนอนหลับมีความต่อเนื่อง และมีคุณภาพการนอนหลับที่ดี เหมาะสมตามศักยภาพของผู้รับการบำบัด
การรักษาโรคนอนไม่หลับ จะใช้การพบกันประมาณ 6-8 ครั้ง ครั้งละประมาณ 45-60 นาที ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้
ครั้งที่ 1 แจ้งแนวทางรักษา ประเมินปัญหา : จะเป็นการสัมภาษณ์ประวัติเบื้องต้น ทำชุดแบบทดสอบเพื่อประเมินปัญหา และการทำบันทึกประจำวันด้านการนอนหลับ เพื่อวางแผนการรักษาในครั้งถัดไป
ครั้งที่ 2-4 ปรับเปลี่ยนโดยใช้กลยุทธ์ต่าง ๆ :เป็นการรักษาโดยใช้การปรับพฤติกรรมการเข้านอนและตื่นนอน ที่สอดคล้องกับนาฬิกาชีวิต (Body Clock) หรือนาฬิกาชีวภาพ (Biological clock) ของผู้รับบริการ โดยใช้เทคนิคการปรับพฤติกรรมเมื่อต้องเผชิญปัญหาการนอนไม่หลับ ตลอดจนการปรับปรุงแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ของแต่ละบุคคลที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการบำบัดรักษา
ครั้งที่ 5 ฝึกฝนการผ่อนคลาย : ฝึกฝนเทคนิคการผ่อนคลายและการจัดการความเครียด เพิ่มเพิ่มพูนศักยภาพในการนอนให้ดียิ่งขึ้น ลดภาวะการตื่นตัวของระบบประสาทอัตโนมิติที่ส่งผลให้การนอนหลับเกิดขึ้นยาก
ครั้งที่ 6 – 8 คงไว้ซึ่งผลดีของการรักษา : การทำงานร่วมกันโดยใช้การปรับความคิด หรือวิธีคิดที่ส่งผลให้การนอนหลับถูกรบกวน โดยใช้การรู้คิดและพฤติกรรมบำบัด (CBT) เพื่อสร้างเสริมทักษะให้สามารถจัดการปัญหาได้ด้วยตนเอง
ไม่มีใครอยากเป็นโรคนี้ และทุกคนล้วนอยากหายขาดจากอาการนอนไม่หลับ แต่ถ้าเรามุ่งไปที่การแก้ไขอาการเลย โดยเฉพาะการซื้อยากินเอง ทั้ง ๆ ที่สาเหตุยังไม่ถูกแก้ไขอย่างถูกต้อง ก็มีโอกาสที่จะไม่หายขาด ต้องใช้ยาต่อเนื่อง เมื่อหยุดใช้ยาก็อาจกลับมาเป็นซ้ำ
นอกจากนี้ อาจเกิดผลข้างเคียงของยาจากการใช้ยาไม่ถูกต้อง เกิดผลกระทบต่อร่างกายในระยะยาวได้ อีกทั้ง ยังมีโอกาสทำให้โรคนอนไม่หลับเป็นหนักขึ้น หรือเรื้อรังมากขึ้นได้อีกด้วย
การนอนไม่หลับ เป็นอาการที่เกิดได้จากหลายสาเหตุ ดังนั้น การมาพบแพทย์หรือนักจิตวิทยาที่ชำนาญการเฉพาะด้าน และได้รับการวินิจฉัยอย่างถี่ถ้วน เพื่อแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุดจึงเป็นสิ่งสำคัญ จะเป็นแนวทางที่ปลอดภัยและมีโอกาสรักษาให้หายขาดได้มากกว่า
การรักษาโรคนอนไม่หลับที่กรุงเทพ สลีป เซนเตอร์ จะมีบริการรักษาโรคนอนไม่หลับแบบ CBT-I โดยนักจิตวิทยาคลินิกที่มีใบอนุญาตประกอบโรคศิลปะ ที่ผ่านการศึกษาด้านการนอนหลับมาโดยเฉพาะ รวมถึงการศึกษาในด้านที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ จิตบำบัดความคิดและพฤติกรรม จิตวิทยาคลินิกและชุมชน ปรัชญาและศาสนา
หากท่านใดสนใจรักษาโรคนอนไม่หลับ ต้องการปรึกษาหรือเข้ารับการตรวจ สามารถติดต่อเข้ามาได้ที่ช่องทางติดต่อต่าง ๆ ของเรา
โรคนอนไม่หลับ (Insomnia) เป็นความผิดปกติของการนอนหลับที่ทำให้หลับยาก หลับไม่ทน หรือทำให้เราต้องตื่นขึ้นมาเร็วกว่าเวลาอันสมควร และกำลังเป็นโรคที่ผู้คนเป็นกันมากขึ้นในยุคนี้
แนวทางการรักษาโรคนอนไม่หลับด้วยวิธี Cognitive Behavioral Therapy for Insomnia ที่เรียกว่า CBT-I เป็นแนวทางรักษาโรคนอนไม่หลับที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในกรณีที่มีอาการเรื้อรัง ในปัจจุบันกำลังเป็นที่นิยมมากขึ้น โดยเฉพาะในการแพทย์ตะวันตก เพราะมีงานวิจัยและการศึกษาที่ยืนยันประสิทธิภาพการรักษาด้วยวิธีดังกล่าวว่าได้ผลลัพธ์ที่ดี
อย่างไรก็ดี เนื่องจากแนวทางการรักษาโรคนอนไม่หลับของแต่ละคนอาจแตกต่างกันไปตามสภาพร่างกาย สภาพจิตใจและปูมหลังของผู้ป่วย ดังนั้น หากมีอาการและสงสัยว่า นอนไม่หลับทำอย่างไรดี? มีข้อแนะนำ คือ ผู้ที่มีอาการนอนไม่หลับอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 2 สัปดาห์ขึ้นไป ควรเข้ารับการปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อน เพื่อวินิจฉัยถึงสาเหตุอาการต่าง ๆ และนำไปสู่การวางแผนการรักษาได้อย่างเหมาะสม
ศูนย์ Sleep lab ยินดีให้บริการ และพร้อมให้คำปรึกษาโรคนอนไม่หลับ (Insomnia) แก้ไขปัญหานอนกรน แก้อาการนอนกรน ผู้หญิง-ผู้ชาย พร้อมบริการรักษาภาวะนอนกรน และหยุดหายใจขณะหลับชนิดอุดกั้น (Obstructive Sleep Apnea) โดยการใช้เครื่องอัดอากาศแรงดันบวก (CPAP) โดยแพทย์เฉพาะทางที่ได้รับการรับรองจาก American Board of Sleep Medicine และเจ้าหน้าที่ ที่คอยให้บริการอย่างอบอุ่น สุภาพ และเป็นกันเอง ในบรรยากาศที่พักส่วนตัวที่เงียบสงบ และร่มรื่น
กรุงเทพ สลีป เซ็นเตอร์
ศูนย์ Sleep lab ที่ให้การตรวจการนอนหลับ (sleep test) ของคุณ
เป็นช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนอย่างแท้จริง
โทรปรึกษา 064-649-1919, 02-089-8687