ลูกนอนกรน และหยุดหายใจขณะหลับ อันตรายแค่ไหน ต้องรักษาอย่างไร?

เวลาที่ลูกหลับ เรามักคิดว่าเป็นช่วงเวลาที่เขาได้พักผ่อนเต็มที่ แต่ถ้าลองตั้งใจฟังดี ๆ แล้วพบว่า “ลูกนอนกรน หรือหายใจแรงผิดปกติในตอนกลางคืน นั่นอาจไม่ใช่แค่เรื่องเล็ก ๆ อย่างที่คิด เพราะเบื้องหลังเสียงกรนของเด็ก ๆ อาจบอกถึงปัญหาสุขภาพที่ส่งผลต่อการนอนและพัฒนาการได้มากกว่าที่เราคิด

บทความนี้จะชวนคุณพ่อคุณแม่มาทำความเข้าใจว่าเสียงกรนของลูกเกิดจากอะไร อันตรายแค่ไหน สังเกตได้อย่างไร และควรดูแลเบื้องต้นอย่างไรให้ถูกต้อง เพื่อให้การนอนของลูกเป็นช่วงเวลาที่ลูกได้พักผ่อนอย่างแท้จริง

และหากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการตรวจการนอนหลับหรือดูแลปัญหาการนอนในเด็ก สามารถศึกษาข้อมูลได้ที่ Bangkok Sleep Center ศูนย์ให้คำแนะนำเกี่ยวกับสุขภาพการนอนหลับโดยแพทย์เฉพาะทาง

Table of Contents

ลูกนอนกรน…ปัญหาที่ทำให้พ่อแม่กังวลใจ

“เคยสังเกตไหมว่าทำไมลูกนอนกรนเสียงดังทุกคืน ทั้งที่ยังเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ?”  หากคุณพ่อคุณแม่เริ่มสังเกตเห็นว่า…

  • ลูกนอนกรนเสียงดัง ทุกคืน
  • ลูกมีอาการสะดุ้งตื่นกลางดึก หายใจเฮือก หรือหยุดหายใจเป็นช่วง ๆ
  • ลูกนอนหลับไม่สนิท ตื่นเช้ามาไม่สดชื่น ง่วงเหงาหาวนอนทั้งวัน
  • ลูกหายใจติดขัดตอนกลางคืน หรือ ลูกนอนหายใจเสียงดัง เหมือนมีอะไรอุดตันตลอดเวลา

นั่นอาจเป็นสัญญาณของภาวะอุดกั้นทางเดินหายใจขณะหลับ (Obstructive Sleep Apnea; OSA) ซึ่งพบได้บ่อยในเด็กที่มีต่อมทอนซิลโต ต่อมอะดีนอยด์โต หรือมีภาวะภูมิแพ้เรื้อรัง

เสียงกรนในเด็กเกิดจากอะไร?

เสียงกรนในเด็ก” เกิดจากการที่ทางเดินหายใจมีการอุดกั้นหรือแคบลงขณะหลับ ส่งผลให้อากาศไหลผ่านได้ยากกว่าปกติ ทำให้เกิดการสั่นสะเทือนของเนื้อเยื่อในลำคอ จนกลายเป็นเสียงกรนออกมา โดยเฉพาะช่วงกลางคืนที่กล้ามเนื้อคลายตัวมากกว่าปกติ ทำให้เสียงกรนยิ่งชัดและดังขึ้น

เสียงกรนในเด็กจึงเป็นสัญญาณที่บอกได้ว่าการหายใจของลูกอาจไม่ราบรื่นขณะหลับ ซึ่งหากปล่อยไว้ อาจกระทบกับคุณภาพการนอน การเจริญเติบโต และพัฒนาการได้ในระยะยาว

ความรุนแรงของการกรนในเด็กมีกี่ระดับ?

ความรุนแรงของการกรนในเด็กแบ่งออกเป็น 3 ระดับหลัก ๆ ตามความถี่และความรุนแรงของอาการ ดังนี้

1. อาการกรนแบบชั่วคราว (Primary Snoring)

เป็นการกรนที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราว เช่น ช่วงเป็นหวัดหรือภูมิแพ้ อาจกรน 1-2 คืน แล้วหายไปเมื่ออาการดีขึ้น ไม่มีผลกระทบต่อสุขภาพหรือพัฒนาการ

2. อาการกรนเรื้อรัง (Chronic Snoring)

เด็กจะกรนเป็นประจำมากกว่า 3 คืนต่อสัปดาห์ ติดต่อกันหลายสัปดาห์ขึ้นไป อาจเริ่มส่งผลต่อคุณภาพการนอน เช่น หลับไม่สนิท ตื่นกลางดึกบ่อย แต่ยังไม่พบภาวะหยุดหายใจขณะหลับ

3. อาการกรนร่วมกับภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Obstructive Sleep Apnea; OSA)

เป็นระดับรุนแรงที่สุด เด็กจะกรนหรือหายใจเสียงดังมาก สลับกับช่วงหยุดหายใจเป็นพัก ๆ มักมีอาการเหนื่อยหอบ มีสะดุ้งตื่นบ่อย นอนกระสับกระส่าย และตื่นมาไม่สดชื่น ซึ่งจะส่งผลต่อพัฒนาการ การเรียนรู้ และสุขภาพโดยรวม

ดังนั้น หากคุณพ่อคุณแม่สังเกตุเห็นว่าลูกนอนกรนแค่บางวันแล้วหาย อาจเป็นเพียงกรนชั่วคราว แต่ถ้าเด็กนอนกรนเสียงดัง ต่อเนื่อง หรือมีอาการผิดปกติอื่นร่วมด้วย เช่น ลูกหายใจติดขัดตอนกลางคืน ควรรีบปรึกษาแพทย์ เพราะอาจเป็นสัญญาณของกรนเรื้อรังหรือ OSA ที่ต้องได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี

Key message 2: การนอนกรนในเด็ก เกิดจากอะไร?

  • ต่อมทอนซิลโต
  • ต่อมอะดีนอยด์โต
  • ภูมิแพ้และโพรงจมูกอักเสบเรื้อรัง
  • ไซนัสอักเสบเรื้อรัง
  • อ้วนหรือน้ำหนักเกิน
  • โครงสร้างใบหน้าและขากรรไกรผิดปกติ

การนอนกรนในเด็ก เกิดจากอะไร?

โดยทั่วไปสาเหตุนอนกรนในเด็ก มักเกิดจากความผิดปกติที่ทำให้อากาศไหลผ่านทางเดินหายใจได้ยาก เช่น การโตผิดปกติของอวัยวะในทางเดินหายใจ หรือจากโรคต่าง ๆ ทำให้เด็กหายใจติดขัดตอนหลับ และส่งผลให้เกิดเสียงกรนตามมา โดยสาเหตุของการกรนในเด็ก ได้แก่

1. ต่อมทอนซิลโต (Tonsillar Hypertrophy)

สาเหตุยอดฮิตของ “เด็กนอนกรน” เพราะต่อมทอนซิลมีขนาดใหญ่ขึ้นจนไปเบียดช่องคอ ทำให้ทางเดินหายใจแคบลงจนเกิดเสียงกรนระหว่างหลับ

2. ต่อมอะดีนอยด์โต (Adenoid Hypertrophy)

ถ้าสังเกตว่าลูกนอนกรน ร่วมกับหายใจทางปากเป็นประจำ อาจเกิดจากต่อมอะดีนอยด์ที่โตผิดปกติจนขวางโพรงจมูก ทำให้หายใจติดขัดตอนกลางคืน

3. ภูมิแพ้และโพรงจมูกอักเสบเรื้อรัง (Chronic Rhinitis & Allergies)

อีกหนึ่งสาเหตุของเด็กนอนกรน คือภาวะเยื่อบุจมูกบวม น้ำมูกขัง ทำให้อากาศไหลผ่านยาก และส่งผลให้กรนขณะหลับ

4. ไซนัสอักเสบเรื้อรัง (Chronic Sinusitis)

เมื่อลูกมีอาการคัดจมูกและน้ำมูกหนืดเรื้อรัง ก็อาจทำให้ลูกนอนกรนได้ ซึ่งเกิดจากการอุดตันของโพรงจมูก

5. ภาวะอ้วนหรือน้ำหนักเกิน (Obesity)

เด็กที่มีน้ำหนักเกินเกณฑ์ มักเจอปัญหานอนกรนเสียงดัง เพราะไขมันที่สะสมบริเวณคอเบียดทางเดินหายใจ ทำให้กรนหนักขึ้นและเสี่ยงหยุดหายใจขณะหลับ

6. ความผิดปกติของโครงสร้างใบหน้าและขากรรไกร (Craniofacial Abnormalities)

ในกรณีที่ลูกนอนกรน ตั้งแต่ยังเล็กมาก อาจเกี่ยวกับโครงสร้างใบหน้าหรือขากรรไกร เช่น ขากรรไกรเล็ก เพดานปากผิดรูป ทำให้ช่องทางเดินหายใจแคบกว่าปกติ

ประเภทของโรคภาวะหยุดหายใจขณะหลับในเด็ก

ภาวะหยุดหายใจขณะหลับในเด็ก (Sleep Apnea) แบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทหลัก ๆ ดังนี้

1. Obstructive Sleep Apnea (OSA) – ภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น

เป็นประเภทที่พบได้บ่อยที่สุดในเด็ก โดยเฉพาะในกรณีที่ลูกนอนกรนร่วมกับมีต่อมทอนซิลโต หรือต่อมอะดีนอยด์โต ซึ่งจะขวางทางเดินหายใจ ทำให้อากาศไหลผ่านได้ยากจนเกิดการหยุดหายใจเป็นช่วง ๆ ระหว่างหลับ

2. Central Sleep Apnea (CSA) – ภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากสมองสั่งการผิดปกติ

พบได้น้อยกว่าในเด็ก โดยมักเกิดจากสมองไม่ส่งสัญญาณควบคุมการหายใจอย่างต่อเนื่องในขณะหลับ ทำให้เด็กหยุดหายใจเองเป็นระยะ ๆ ถึงแม้จะไม่มีสิ่งอุดกั้นในทางเดินหายใจก็ตาม ซึ่งอาจพบในเด็กที่มีโรคทางระบบประสาท หรือมีความผิดปกติทางสมอง

3. Mixed Sleep Apnea – ภาวะหยุดหายใจขณะหลับแบบผสม

เป็นภาวะที่มีทั้งลักษณะของ OSA และ CSA รวมกัน คือ เด็กนอนกรนเพราะมีการอุดกั้นทางเดินหายใจ ร่วมกับความผิดปกติในการสั่งงานของสมอง ทำให้เกิดช่วงหยุดหายใจที่ซับซ้อนมากขึ้นและต้องการการดูแลอย่างใกล้ชิด

วิธีสังเกตภาวะนอนกรนในเด็ก 

คุณพ่อคุณแม่สามารถเริ่มจากการสังเกตอาการง่าย ๆ ได้ดังนี้

วิธีสังเกตความผิดปกติขณะหลับ

  • ลูกนอนหายใจเสียงดัง หรือลูกนอนกรนเสียงดังต่อเนื่อง มากกว่า 3 คืนต่อสัปดาห์
  • มีช่วงที่ ลูกหายใจติดขัดตอนกลางคืน หรือหยุดหายใจเงียบ ๆ ไปพักหนึ่งแล้วหายใจต่อ
  • นอนกระสับกระส่าย เปลี่ยนท่านอนบ่อย ผวาตื่นกลางดึก
  • หายใจทางปากขณะหลับ เพราะจมูกอุดตันตลอดเวลา

วิธีสังเกตความผิดปกติหลังตื่นนอน

  • เด็กตื่นมาแล้วไม่สดชื่น ถึงแม้จะนอนนาน
  • ง่วงซึม หาวบ่อย ไม่มีสมาธิในช่วงกลางวัน
  • มีอาการหงุดหงิดง่าย อารมณ์แปรปรวน
  • ในเด็กโตอาจเริ่มมีปัญหาเรื่องการเรียนรู้หรือความจำ

วิธีสังเกตความผิดปกติระยะยาว

  • น้ำหนักและส่วนสูงโตช้ากว่าเกณฑ์
  • มีปัญหาสมาธิสั้น หรือพฤติกรรมไฮเปอร์แอคทีฟ
  • ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ป่วยบ่อย
  • มีแนวโน้มเสี่ยงต่อโรคนอนไม่หลับในระยะยาว

หากคุณพ่อคุณแม่เริ่มสังเกตเห็นว่า ลูกนอนกรนร่วมกับอาการผิดปกติข้างต้น ควรรีบปรึกษาแพทย์เฉพาะทางเพื่อทำการวินิจฉัยที่ถูกต้องและแพทย์อาจแนะนำให้ตรวจ Sleep test เพื่อค้นหาสาเหตุที่แท้จริงและป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบต่อพัฒนาการและสุขภาพของเด็กในอนาคต

ภาวะแทรกซ้อนของอาการนอนกรนในเด็ก มีอะไรบ้าง?

หลายคนอาจคิดว่าเสียงกรนเป็นแค่ปัญหาเล็ก ๆ แต่จริง ๆ แล้ว หากลูกนอนกรน หรือเด็กนอนกรนเสียงดัง ต่อเนื่องเป็นเวลานาน อาจเสี่ยงเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพทั้งในระยะสั้นและระยะยาวได้มากกว่าที่คิด

ภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยจากอาการนอนกรนในเด็ก

  • ปัญหาการเจริญเติบโตช้ากว่าเกณฑ์
    เด็กที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการกรน ร่างกายจะหลั่งโกรทฮอร์โมน (Growth Hormone) ได้ลดลง ส่งผลให้ตัวเล็ก น้ำหนักน้อย โตไม่เต็มที่ตามวัย
  • ปัญหาการเรียนรู้และสมาธิ
    เมื่อเด็กนอนกรน และพักผ่อนไม่เพียงพอ สมองจะทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ส่งผลให้มีสมาธิสั้น ความจำแย่ลง และมีผลกับการเรียน
  • พฤติกรรมและอารมณ์ผิดปกติ
    ลูกนอนกรน มักตื่นมาแล้วง่วงง่าย หงุดหงิด อารมณ์แปรปรวน หรือในบางรายอาจมีอาการคล้ายโรคสมาธิสั้น (ADHD)
  • ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
    เมื่อร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอจากการหายใจที่ติดขัดตอนกลางคืน อาจทำให้ลูกนอนกรนแล้วป่วยบ่อย เป็นหวัดหรือเจ็บคอซ้ำ ๆ
  • โรคความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจในอนาคต
    หากปล่อยให้ เด็กนอนกรนโดยไม่รักษา เพราะอาจเสี่ยงให้เกิดโรคความดันโลหิตสูงตั้งแต่วัยเด็ก และเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจในอนาคต
  • เสี่ยงต่อภาวะโรคนอนไม่หลับ (Insomnia)
    เด็กที่มีการนอนหลับที่ไม่ต่อเนื่องจากภาวะหยุดหายใจบ่อย ๆ จะทำให้วงจรการนอนถูกรบกวน และเสี่ยงต่อปัญหาโรคนอนไม่หลับเมื่อโตขึ้น

แนวทางการดูแลเด็กนอนกรน

คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรละเลย เมื่อเริ่มสังเกตเห็นว่าลูกนอนกรน หายใจติดขัดตอนกลางคืน หรือนอนกรนหรือหายใจเสียงดังติดต่อกันหลายคืน เพราะการดูแลอย่างถูกวิธีตั้งแต่ต้นจะช่วยลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน และจะช่วยทำให้ลูกกลับมานอนหลับสนิทอย่างมีคุณภาพได้ โดยมีแนวทางการดูแลดังนี้

วิธีสังเกตและดูแลเบื้องต้น

  • สังเกตและจดบันทึกอาการของลูก เช่น กรนกี่คืนต่อสัปดาห์ กรนเสียงดังแค่ไหน มีช่วงหยุดหายใจหรือไม่ ตื่นมาแล้วสดชื่นหรือไม่
  • ดูแลไม่ให้ลูกนอนหงายตลอดคืน เพราะท่านอนหงายอาจทำให้ลิ้นตกไปปิดทางเดินหายใจได้ ควรให้ลูกนอนในท่าที่ช่วยลดการกรน เช่น นอนตะแคงเพราะจะช่วยลดการอุดกั้นของทางเดินหายใจ
  • หมั่นล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ โดยเฉพาะในช่วงที่ลูกมีน้ำมูกหรือติดหวัด เพื่อให้ทางเดินหายใจโล่งและหายใจได้สะดวก
  • รักษาสิ่งแวดล้อมในห้องนอนให้ปลอดฝุ่น ปราศจากสารก่อภูมิแพ้ เช่น ไรฝุ่น ขนสัตว์ หรือควันบุหรี่
  • ควบคุมน้ำหนักตัวของลูกให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม เพราะน้ำหนักเกินอาจเพิ่มความเสี่ยงให้ทางเดินหายใจแคบลง และทำให้กรนมากขึ้น
  • สร้างบรรยากาศการนอนที่ดี เช่น ปิดไฟให้สนิท งดใช้หน้าจออิเล็กทรอนิกส์ก่อนนอนประมาณ 1 ชั่วโมง เพื่อให้ลูกหลับสนิทและมีคุณภาพ

แนวทางการรักษาและดูแลโดยแพทย์

  • พาลูกไปพบแพทย์เฉพาะทางหู คอ จมูก หรือแพทย์ผู้ชำนาญการด้านการนอนหลับ เมื่อลูกนอนกรนเสียงดัง หรือมีอาการหยุดหายใจขณะหลับร่วมด้วยเป็นประจำ
  • เข้ารับการตรวจ Sleep test เพื่อตรวจวิเคราะห์คุณภาพการนอนหลับ ตรวจจับช่วงหยุดหายใจ และค้นหาสาเหตุของการกรนอย่างละเอียด
  • รักษาอาการภูมิแพ้หากเป็นหนึ่งในปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้ลูกนอนกรน เช่น การใช้ยาลดน้ำมูกหรือยาต้านฮิสตามีนตามคำแนะนำของแพทย์
  • พิจารณาการผ่าตัดต่อมทอนซิลหรือต่อมอะดีนอยด์ หากแพทย์พบว่าขนาดโตผิดปกติและเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ลูกนอนกรน
  • ติดตามอาการอย่างต่อเนื่องและปรับแผนการรักษาตามความรุนแรงและความเปลี่ยนแปลงของอาการ

การปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน

  • ฝึกและสอนให้ลูกดื่มน้ำมากขึ้นเพื่อลดความเหนียวข้นของน้ำมูก
  • ส่งเสริมกิจกรรมกลางแจ้งและการออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงระบบทางเดินหายใจ
  • หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารมื้อหนัก หรือมันมากเกินไปก่อนนอน เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงของการกรนได้

แนวทางเหล่านี้จะช่วยลดปัญหาลูกนอนกรน และป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพและพัฒนาการของลูกในระยะยาว และหากพบว่าอาการกรนของลูกไม่ดีขึ้น หรือเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ  ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุการนอนกรนและเพื่อให้ได้รับการรักษาอย่างตรงจุด

อย่าปล่อยให้เสียงกรนรบกวนสุขภาพลูก

แม้เสียงกรนของลูกจะดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่หากลูกนอนกรน หรือเด็กนอนกรนเสียงดังเป็นประจำ ติดต่อกันหลายคืน หรือมีอาการผิดปกติร่วมด้วย เช่น หยุดหายใจเป็นช่วง ๆ สะดุ้งตื่นบ่อย นอนหลับไม่สนิท หรือรู้สึกง่วงในเวลากลางวัน นี่อาจเป็นสัญญาณเตือนสำคัญที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรมองข้าม

เพราะการนอนหลับมีผลโดยตรงต่อพัฒนาการ การเจริญเติบโต และสุขภาพของลูก หากพบความผิดปกติ การปรึกษาแพทย์ หรือการเข้ารับการตรวจประเมินเพิ่มเติม เช่น Sleep test อาจช่วยให้เข้าใจสาเหตุของอาการนอนกรนได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เพื่อให้สามารถวางแผนดูแลและแก้ไขได้เหมาะสมกับเด็กแต่ละคน

สำหรับครอบครัวที่กำลังมองหาการดูแลด้านปัญหาการนอนหลับของเด็ก Bangkok Sleep Center ให้บริการตรวจวิเคราะห์ปัญหาการนอนหลับจากแพทย์เฉพาะทาง และการดูแลจากบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อดูแลสุขภาพการนอนของลูกอย่างเหมาะสมตามหลักวิชาการและมาตรฐานวิชาชีพ

เพราะการนอนหลับที่มีคุณภาพ คือพื้นฐานสำคัญของสุขภาพที่ดีของลูก ซึ่งเป็นดั่งดวงใจของทุกคนในครอบครัว

 

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับลูกนอนกรน และหยุดหายใจขณะหลับ

ลูกนอนกรนเกิดจากอะไร

มักเกิดจากทางเดินหายใจแคบหรืออุดกั้นจากสาเหตุต่าง ๆ เช่น ต่อมทอนซิลโต ต่อมอะดีนอยด์โต หรือภูมิแพ้ ทำให้อากาศไหลผ่านได้ยากและเกิดเสียงกรนขณะหลับ

ลูกนอนกรนอันตรายไหม

อาจเป็นอันตรายได้ หากกรนเสียงดังบ่อย หยุดหายใจเป็นช่วง ๆ หรือหลับไม่สนิท เพราะอาจส่งผลต่อการเจริญเติบโต พัฒนาการ สมาธิ และสุขภาพในระยะยาว ดังนั้นหากมีอาการต่อเนื่องเรื้อรังควรปรึกษาแพทย์

ลูกนอนกรน หายใจแรง อันตรายไหม

หากลูกนอนกรนร่วมกับหายใจแรงตลอดคืน อาจเป็นสัญญาณว่าระบบทางเดินหายใจทำงานหนักกว่าปกติ ซึ่งอาจเกิดจากการอุดกั้นบางส่วน และหากมีอาการต่อเนื่องเป็นประจำ จะทำให้หลับไม่เต็มที่ พักผ่อนไม่พอ และจะกระทบกับพัฒนาการและการเจริญเติบโต หากลูกมีอาการนอนกรน หายใจแรง ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อหาสาเหตุ

สังเกตอย่างไร ว่าลูกของเรานอนกรน

  • ได้ยินเสียงกรนตอนหลับเป็นประจำ
  • หายใจสะดุด หรือหยุดหายใจเป็นช่วง ๆ
  • นอนกระสับกระส่าย ตื่นบ่อย
  • ตื่นแล้วไม่สดชื่น ง่วงง่าย

หากมีอาการเหล่านี้ ควรรีบปรึกษาแพทย์

ศูนย์ตรวจ และรักษาภาวะนอนกรน และการนอนหลับที่ผิดปกติ กรุงเทพ สลีป เซ็นเตอร์ พร้อมให้คำปรึกษาแก้ไขปัญหานอนกรน แก้อาการนอนกรน ผู้ชาย-ผู้หญิง บริการตรวจวินิจฉัยการนอนหลับ (sleep test) รักษาภาวะนอนกรน และหยุดหายใจขณะหลับชนิดอุดกั้น (Obstructive Sleep Apnea) โดยการใช้เครื่องอัดอากาศแรงดันบวก (CPAP) และพร้อมให้คำปรึกษาแก้ไขปัญหานอนกรน แก้อาการนอนกรน ผู้ชาย-ผู้หญิง ให้บริการรักษาด้วยเครื่อง CPAP อย่างใกล้ชิด

ศูนย์ Sleep lab ที่ให้การตรวจการนอนหลับ (sleep test) ของคุณ
เป็นช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนอย่างแท้จริง
โทรปรึกษา 064-649-1919, 02-089-8687

บทความอื่นๆ

ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ หรือ OSA ภัยเงียบที่อาจทำร้ายคุณ ถึงชีวิต!

ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Obstructive Sleep Apnea) อันตรายกว่าที่คิด Bangkok Sleep Center อยากให้คุณรู้จักกับอาการ สาเหตุ และวิธีรักษา เพื่อการนอนหลับที่ดี

อ่านเพิ่มเติม

หายใจไม่ออกตอนนอน แค่ปัญหากวนใจหรือสัญญาณเตือนโรคภัย? รู้วิธีรับมือก่อนเสี่ยงปัญหาสุขภาพ!

หายใจไม่ออกตอนนอน คืออาการที่ผู้ป่วยรู้สึกอึดอัดหรือหายใจลำบากระหว่างการนอนหลับ อาการนี้อาจเกิดขึ้นชั่วคราว หรือเป็นภาวะเรื้อรังที่ส่งผลต่อคุณภาพการนอนในระยะยาว

อ่านเพิ่มเติม
Shopping Basket