“กรนเสียงดัง นอนเท่าไหร่ก็ไม่สดชื่น ตื่นมาปวดหัว และง่วงทั้งวัน” อาการเหล่านี้อาจไม่ใช่แค่ความเหนื่อยล้าสะสม แต่เป็นสัญญาณเตือนของภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Obstructive Sleep Apnea – OSA) โรคที่หลายคนมองข้าม ซึ่งหากปล่อยไว้อาจเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดในอนาคต
ใครที่สงสัยว่าตัวเองหรือคนใกล้ตัวมีอาการเข้าข่าย ควรเข้ารับการตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียดกับแพทย์เฉพาะทางด้านการนอนหลับ เพราะหากสามารถตรวจวินิจฉัยและรับการการรักษาได้เร็วก็จะลดความเสี่ยงของโรคแทรกซ้อนที่จะตามมาได้
ในบทความนี้ เราจะพาคุณมาทำความเข้าใจว่า ภาวะหยุดหายใจขณะหลับเกิดจากอะไร ความเสี่ยง สาเหตุมีอะไรบ้าง และมีโรคอะไรที่เกี่ยวข้อง เพื่อช่วยให้คุณเช็กสุขภาพการนอนตัวเองได้ง่ายขึ้น
ทำความรู้จักภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Obstructive Sleep Apnea) คืออะไร?
ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Obstructive Sleep Apnea หรือ OSA) คือ ภาวะผิดปกติที่เกิดขึ้นขณะนอนหลับจากการที่กล้ามเนื้อบริเวณลำคอและทางเดินหายใจส่วนบนเกิดการหย่อนตัวมากเกินไป ทำให้ทางเดินหายใจตีบแคบหรือปิดสนิทเป็นช่วง ๆ ส่งผลให้การหายใจหยุดชะงักไปชั่วขณะ โดยมักเกิดซ้ำ ๆ หลายสิบครั้ง หรือในบางคนอาจเกิดขึ้นเป็นร้อยครั้งตลอดคืน ซึ่งผู้ป่วยอาจไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองหยุดหายใจขณะหลับ
เมื่อร่างกายขาดออกซิเจนจากการหยุดหายใจ สมองจะสั่งให้ร่างกายตื่นตัวชั่วขณะเพื่อกลับมาหายใจอีกครั้ง ซึ่งทำให้ผู้ป่วยสะดุ้ง ตื่นบ่อย หรือกรนเสียงดังในช่วงเวลานั้น การหยุดหายใจสลับกับการตื่นตัวแบบนี้ตลอดคืนส่งผลให้การนอนหลับไม่มีคุณภาพ หลับไม่ลึก ตื่นมาไม่สดชื่น และเกิดอาการง่วงมากผิดปกติในเวลากลางวัน
ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ มีอาการอย่างไร?
ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (OSA) มักเริ่มต้นจากอาการที่หลายคนมองข้าม เช่น การกรนเสียงดังผิดปกติ หรือรู้สึกเหนื่อยล้าทั้งที่ได้นอนเต็มอิ่ม อาการของภาวะนี้สามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพได้มากกว่าที่คิด หากคุณมีอาการเหล่านี้บ่อยครั้ง อาจเป็นสัญญาณเตือนสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม
อาการที่พบบ่อยของภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
- กรนเสียงดังต่อเนื่องทุกคืน
- หยุดหายใจเป็นช่วง ๆ ระหว่างนอนหลับ
- สะดุ้งตื่นกลางดึก หายใจไม่ออก หรือหายใจเฮือก
- ตื่นนอนแล้วรู้สึกไม่สดชื่น มีอาการมึนหัว หรือปวดหัวตอนเช้า
- ง่วงมากผิดปกติในช่วงกลางวัน จนเสียสมาธิในการทำงานหรือขับรถ
- ตื่นบ่อยกลางดึก โดยไม่ทราบสาเหตุ
- มีอาการหายใจไม่สะดวกเวลานอน รู้สึกเหมือนอึดอัดบริเวณหน้าอก
หากมีอาการเหล่านี้ร่วมกันหลายข้อ ควรเข้ารับการตรวจวินิจฉัยด้วย Sleep test เพื่อค้นหาสาเหตุและรับการดูแลอย่างถูกต้องก่อนที่โรคจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว
โรคอื่นที่มีอาการคล้ายภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
ถึงแม้ว่าภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (OSA) จะเป็นสาเหตุหลักของอาการกรนเสียงดัง และหยุดหายใจเป็นช่วง ๆ ขณะนอนหลับ แต่ความจริงแล้วยังมีอีกหลายโรคและหลายภาวะที่ทำให้เกิดอาการคล้ายกันได้ จนอาจทำให้เข้าใจผิดหรือได้รับการวินิจฉัยผิดพลาด ดังนั้นการแยกแยะโรคที่มีอาการใกล้เคียงจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ได้รับการดูแลและรักษาที่ถูกต้องเหมาะสม โรคหรือภาวะที่มักมีอาการคล้ายภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ซึ่งได้แก่
- โรคนอนกรนธรรมดา (Primary Snoring)
เป็นภาวะที่เกิดจากการสั่นของเนื้อเยื่อในลำคอขณะนอนหลับ ทำให้กรนเสียงดังคล้ายกับ OSA แต่ไม่พบการหยุดหายใจหรือภาวะขาดออกซิเจนร่วมด้วย และมักไม่มีอาการง่วงผิดปกติในช่วงกลางวัน - โรคนอนไม่หลับ (Insomnia)
คนที่มีปัญหานอนไม่หลับมักหลับยาก ตื่นกลางดึกบ่อย หรือหลับไม่ลึก ส่งผลให้รู้สึกง่วงและอ่อนเพลียในช่วงกลางวันคล้ายกับ OSA แต่ไม่มีปัญหาเรื่องการอุดกั้นทางเดินหายใจ ซึ่งในบางกรณีโรคนอนไม่หลับอาจเกิดจากความกังวลหรือความเครียด - โรคแพนิค (Panic Disorder)
ผู้ป่วยอาจมีอาการใจสั่น แน่นหน้าอก หายใจไม่อิ่ม หรือสะดุ้งตื่นกลางดึก อาการเหล่านี้อาจทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นภาวะหยุดหายใจขณะหลับ แต่ความจริงแล้วมักเกิดจากความวิตกกังวลและความเครียดสะสมมากกว่า - โรคกรดไหลย้อน (GERD)
อาการแสบร้อนกลางอก แน่นหน้าอก ไอเรื้อรัง หรือสำลักในตอนกลางคืนอาจรบกวนการนอนหลับ ทำให้รู้สึกไม่สดชื่นเมื่อตื่นขึ้นมา ซึ่งอาการเหล่านี้คล้ายกับผลกระทบที่เกิดจากภาวะหยุดหายใจขณะหลับ - โรคอ้วนร่วมกับภาวะหายใจลำบาก (Obesity Hypoventilation Syndrome – OHS)
มักเกิดในคนที่มีน้ำหนักตัวมาก ทำให้หายใจตื้นและช้าลงขณะหลับ ทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ เกิดอาการง่วงและอ่อนเพลียได้คล้ายกับภาวะหยุดหายใจขณะหลับ - ภาวะง่วงมากผิดปกติในเวลากลางวัน (Excessive Daytime Sleepiness)
แม้อาการง่วงมากในเวลากลางวันจะเป็นหนึ่งในสัญญาณเตือนของภาวะหยุดหายใจขณะหลับ แต่ก็อาจเกิดจากสาเหตุอื่นได้เช่นกัน เช่น การทำงานกะกลางคืน การเดินทางบ่อย ความเครียดจากปัญหาส่วนตัว หรือภาวะผิดปกติทางร่างกาย เช่น ไทรอยด์ทำงานต่ำ
ด้วยความหลากหลายของโรคและภาวะที่มีอาการคล้ายคลึงกัน การวินิจฉัยจึงต้องอาศัยการตรวจอย่างละเอียด เช่น การตรวจ Sleep test เพื่อช่วยแยกความแตกต่างของโรคแต่ละชนิดอย่างชัดเจน และวางแผนการรักษาให้ตรงจุดที่สุด
ความสัมพันธ์ระหว่างการนอนกรนและภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
การกรนเป็นสัญญาณเริ่มต้นของทางเดินหายใจแคบ
เสียงกรนเกิดจากการสั่นของเนื้อเยื่อในลำคอ เช่น ลิ้นไก่และเพดานอ่อน เนื่องจากลมหายใจผ่านทางเดินหายใจที่แคบลง หากทางเดินหายใจแคบมากขึ้นจากการกรน ก็อาจพัฒนาไปสู่ภาวะหยุดหายใจขณะหลับได้ในที่สุด
การหยุดหายใจขณะหลับมักเกิดร่วมกับการกรนเสียงดัง
ผู้ที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับมักกรนเสียงดัง สม่ำเสมอ และเป็นประจำทุกคืน ช่วงที่ทางเดินหายใจอุดตันเต็มที่ เสียงกรนจะเงียบลง เพราะอากาศไม่สามารถผ่านได้เลย หลังจากนั้นจะมีเสียงสะดุ้งเฮือกหรือหายใจแรง ๆ เพื่อดึงอากาศเข้าอีกครั้ง
ไม่ใช่ทุกคนที่กรนจะเป็นภาวะหยุดหายใจขณะหลับ แต่คนที่เป็นภาวะหยุดหายใจขณะหลับส่วนใหญ่จะกรน
หากกรนเบา ๆ เป็นบางวัน เช่น วันที่เหนื่อยมาก หรือดื่มแอลกอฮอล์ อาจไม่ใช่ปัญหา แต่ถ้ากรนเสียงดัง กรนทุกคืน มีเสียงกรนแปรปรวน สลับเงียบ แล้วสะดุ้งหายใจแรง ๆ แบบนี้ควรไปตรวจเช็ก เพราะอาจเป็นสัญญาณของภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
อันตรายจากภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ไม่ได้ส่งผลกระทบเฉพาะเรื่องการนอนหลับเท่านั้น แต่ยังทำให้สุขภาพร่างกายและจิตใจแย่ลงอย่างเงียบ ๆ เพราะทุกครั้งที่หยุดหายใจ ร่างกายจะขาดออกซิเจนชั่วคราว ส่งผลให้ต้องสะดุ้งตื่นบ่อย ๆ ตลอดคืน นอนหลับไม่เต็มที่ และเสี่ยงเกิดโรคต่าง ๆ ตามมาแบบไม่รู้ตัว อันตรายจากภาวะหยุดหายใจขณะหลับที่ไม่ควรมองข้าม เช่น
- เสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด
ร่างกายที่ขาดออกซิเจนบ่อย ๆ จะกระตุ้นให้หัวใจทำงานหนักขึ้น เพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจขาดเลือด หัวใจเต้นผิดจังหวะ และหัวใจล้มเหลว - ความดันโลหิตสูง
ภาวะหยุดหายใจขณะหลับทำให้ร่างกายหลั่งสารกระตุ้นความเครียดออกมามากขึ้น ส่งผลให้ความดันโลหิตสูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในช่วงเวลากลางคืน - โรคหลอดเลือดสมอง
การหยุดหายใจซ้ำ ๆ ทำให้สมองได้รับออกซิเจนน้อยลง เพิ่มโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน หรืออัมพฤกษ์ อัมพาตได้ - เบาหวานชนิดที่ 2
การนอนหลับไม่เพียงพอและร่างกายขาดออกซิเจนทำให้ระบบเผาผลาญเสียสมดุล ส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดและเพิ่มความเสี่ยงโรคเบาหวาน - อุบัติเหตุจากการหลับใน
เพราะภาวะนี้ทำให้เกิดอาการง่วงมากผิดปกติในเวลากลางวัน ส่งผลให้สมาธิลดลง เผลอหลับง่ายระหว่างขับรถหรือทำงานที่ต้องใช้ความระมัดระวังสูง - ปัญหาด้านอารมณ์และจิตใจ
การนอนไม่พอจากการหยุดหายใจขณะหลับเรื้อรังอาจทำให้เกิดความเครียด วิตกกังวล หรือภาวะซึมเศร้าได้ง่ายขึ้น เพราะสมองไม่ได้พักผ่อนเต็มที่
ภาวะหยุดหายใจขณะหลับจึงไม่ใช่แค่เรื่องของการกรนเสียงดัง หรือความง่วงในตอนกลางวันเท่านั้น แต่ยังอาจเป็นจุดเริ่มต้นของโรคร้ายแรงที่คาดไม่ถึง
การรักษาภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
การรักษาภาวะหยุดหายใจขณะหลับ จะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ รวมถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะนี้ และสุขภาพโดยรวมของแต่ละคน ซึ่งเป้าหมายหลักคือการช่วยให้หายใจสะดวกขึ้น ลดการหยุดหายใจขณะหลับ และทำให้ผู้ป่วยนอนหลับได้เต็มอิ่ม ลดอาการง่วงในช่วงกลางวัน โดยวิธีการรักษาที่ใช้บ่อยมีดังนี้
- ปรับพฤติกรรมการนอนและดูแลสุขภาพ
วิธีนี้เหมาะกับผู้ที่มีอาการไม่รุนแรงมาก เช่น- ลดน้ำหนัก หากน้ำหนักตัวมาก
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะก่อนนอน
- หลีกเลี่ยงยานอนหลับหรือยากดประสาท
- เปลี่ยนท่านอน เช่น เลี่ยงการนอนหงาย เพราะอาจทำให้ทางเดินหายใจตีบมากขึ้น
- ใช้เครื่อง CPAP (Continuous Positive Airway Pressure)
เป็นเครื่องช่วยหายใจที่ปล่อยแรงดันลมคงที่ผ่านหน้ากากขณะนอนหลับ ช่วยเปิดทางเดินหายใจให้โล่งตลอดคืน ลดการหยุดหายใจ และทำให้นอนหลับสนิทมากขึ้น ถือเป็นวิธีมาตรฐานและได้ผลดีที่สุดสำหรับการรักษาภาวะหยุดหายใจขณะหลับ หรือ OSA - ใส่เครื่องมือขยายขากรรไกร (Oral Appliance)
เป็นอุปกรณ์ที่ใส่ในปากขณะนอนหลับ เพื่อช่วยดันขากรรไกรหรือลิ้นให้อยู่ในตำแหน่งที่ไม่ขวางทางเดินหายใจ เหมาะกับคนที่มีอาการระดับน้อยถึงปานกลาง หรือผู้ที่ไม่สะดวกใช้ CPAP - การผ่าตัด
กรณีที่สาเหตุของภาวะหยุดหายใจขณะหลับมาจากความผิดปกติของโครงสร้างในลำคอ เช่น ต่อมทอนซิลโต ลิ้นไก่ยาว หรือโพรงจมูกตีบ การผ่าตัดจะช่วยแก้ไขปัญหาและเปิดทางเดินหายใจให้กว้างขึ้น - รักษาโรคร่วมอื่น ๆ
เช่น โรคอ้วน เบาหวาน หรือโรคกรดไหลย้อน เพราะโรคเหล่านี้อาจทำให้อาการของภาวะหยุดหายใจขณะหลับแย่ลงได้
การเลือกวิธีรักษาควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางการนอนหลับ เพื่อประเมินอาการอย่างละเอียด และบางกรณีอาจต้องตรวจ Sleep test เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงและวางแผนการรักษาให้ตรงจุดมากที่สุด
หยุดหายใจขณะหลับ…ควรรีบรักษา ก่อนเสี่ยงสุขภาพพัง
ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (OSA) เป็นปัญหาที่มากกว่าแค่การกรน เพราะส่งผลให้หายใจติดขัดหรือต้องหยุดหายใจเป็นช่วง ๆ ขณะนอนหลับ จนทำให้ร่างกายขาดออกซิเจน เสี่ยงเกิดโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน อุบัติเหตุจากการหลับใน รวมถึงปัญหาอารมณ์และความเครียดที่ตามมา หากคุณเริ่มสังเกตว่าตัวเองง่วงมากผิดปกติระหว่างวัน ตื่นมาไม่สดชื่น หรือมีคนทักว่าเวลานอนกรนเสียงดังและสะดุ้งตื่นบ่อย อาจถึงเวลาที่ต้องเช็กสุขภาพการนอนหลับอย่างจริงจัง
การเข้ารับการตรวจวิเคราะห์การนอนหลับจากผู้ชำน่าญการเฉพาะทางจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะช่วยให้เข้าใจสาเหตุและหาวิธีแก้ไขได้ตรงจุด เพราะการนอนหลับที่ดีคือพื้นฐานของสุขภาพที่ดี ที่ Bangkok Sleep Center ให้บริการตรวจวิเคราะห์การนอนหลับและดูแลรักษาความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับการนอน เพื่อช่วยค้นหาสาเหตุของปัญหาและคืนสมดุลให้กับการนอนหลับอีกครั้ง
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
เราจะรู้ได้ไงว่าหยุดหายใจขณะหลับ?
ภาวะหยุดหายใจขณะหลับสังเกตได้จากกรนเสียงดัง สลับกับการหยุดหายใจ ตื่นนอนแล้วไม่สดชื่น ง่วงมากระหว่างวัน พบได้มากในคนอ้วน คอหนา หรืออายุ 40 ปีขึ้นไป หากมีอาการควรตรวจ Sleep Test เพื่อวินิจฉัยและรักษา
หยุดหายใจกี่นาทีถึงจะเสียชีวิต?
โดยทั่วไป หากหยุดหายใจนานเกิน 4-6 นาที สมองจะเริ่มขาดออกซิเจนจนเกิดความเสียหายถาวร และหากเกิน 10 นาที มีโอกาสสูงที่จะเสียชีวิตได้
แต่ภาวะหยุดหายใจขณะหลับมักหยุดหายใจแค่ไม่กี่วินาทีถึง 1 นาที ซึ่งไม่ทำให้เสียชีวิต แต่ถ้าเป็นบ่อยและนานขึ้นก็เพิ่มความเสี่ยงโรคร้ายแรง เช่น หัวใจล้มเหลวหรือเส้นเลือดสมองตีบได้ในระยะยาว
ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ เกิดจากอะไร?
เกิดจากทางเดินหายใจส่วนบนตีบแคบหรืออุดตันขณะหลับ เพราะกล้ามเนื้อในลำคอหย่อนตัวมากเกินไป ทำให้ลิ้นและเนื้อเยื่อรอบคอปิดกั้นทางเดินหายใจ สาเหตุหลักมักมาจากน้ำหนักเกิน คอหนา โครงสร้างใบหน้าแคบ อายุที่มากขึ้น หรือการดื่มแอลกอฮอล์ และยานอนหลับที่ทำให้กล้ามเนื้อคลายตัวมากผิดปกติ
โรคอะไรที่เป็นอาจสาเหตุของการหยุดหายใจ?
- โรคอ้วน – ไขมันรอบคอทำให้ทางเดินหายใจแคบ
- ต่อมทอนซิลโต – อุดกั้นทางเดินหายใจ (พบบ่อยในเด็ก)
- กรดไหลย้อน – กระตุ้นการบวมและระคายเคืองทางเดินหายใจ
- กล้ามเนื้ออ่อนแรง – กล้ามเนื้อคอทำงานน้อยลง
- หัวใจล้มเหลว – รบกวนการควบคุมจังหวะหายใจ
- ไทรอยด์ต่ำ – กล้ามเนื้ออ่อนแรงและทางเดินหายใจบวม
- โรคหลอดเลือดสมอง – ส่งผลต่อศูนย์ควบคุมการหายใจในสมอง