ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ หรือ OSA ภัยเงียบที่อาจทำร้ายคุณ ถึงชีวิต!

หยุดหายใจขณะหลับ
หยุดหายใจขณะหลับ

นอนกรน เป็นอาการที่คนส่วนใหญ่คิดว่าไม่อันตราย และคิดว่าเป็นเพียงอาการที่สร้างความน่ารำคาญ หรือเรื่องขบขันที่เอามาล้อเลียนกัน แต่แท้จริงแล้วเป็นภาวะที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิต และมีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายสูงหากมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับร่วมด้วย เช่น เสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดสมอง อัมพาต อัลไซเมอร์ หัวใจเต้นผิดจังหวะ อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้

OSA ความเสี่ยงโรคร้าย

สารบัญ

ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ หรือ OSA คืออะไร?

ภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น หรือ ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ มาจากภาษาอังกฤษคือ Obstructive Sleep Apnea หลายคนจึงนิยมเรียกแบบย่อ ว่า OSA (โอเอสเอ) 

OSA คือ ภาวะที่ระบบทางเดินหายใจส่วนบนถูกปิดกั้นในขณะที่นอนหลับ อากาศไหลผ่านได้ลำบาก ทำให้มีอาการหยุดหายใจเป็นพักๆ โดยในช่วงที่ขาดอากาศ ร่างกายได้รับออกซิเจนลดลง ส่งผลต่ออวัยวะที่สำคัญและไวต่อการขาดเลือด เช่น สมอง หัวใจ  

สาเหตุของ OSA

ความสัมพันธ์ระหว่างโรคนอนกรน และภาวะหยุดหายใจขณะหลับ

นอนกรน (snoring) เกิดจากการทางเดินหายใจส่วนบน บริเวณลำคอและโคนลิ้น ตีบแคบลง ทรวงอกต้องออกแรงหายใจเข้าและออกรุนแรงขึ้น เพื่อดันอากาศให้ผ่านทางเดินหายใจที่แคบลง ทำให้เกิดการสั่นสะเทือนของกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อบริเวณช่องคอ เกิดเป็นเสียงกรนขึ้น

แต่ถ้ามีอาการมากจนกระทั่งผู้ป่วยหยุดหายใจเป็นช่วง ๆ ขณะนอนหลับ ลักษณะนี้เรียกว่า ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Obstructive Sleep Apnea หรือ OSA) นั่นเอง

อาจกล่าวได้ว่า ทั้งสองอาการนี้มีความสัมพันธ์โดยตรงต่อกัน (คือพบว่าเกิดขึ้นร่วมกันบ่อยครั้ง) แต่ไม่จำเป็นว่า ทุก ๆ คนที่นอนกรน ต้องมีภาวะ OSA เสมอไป แต่ก็มีความเสี่ยงที่ต้องระมัดระวัง จึงจำเป็นต้องมีการสังเกตและตรวจสอบเพิ่มเติม

นอนกรนแบบไหน ถือว่าไม่ธรรมดา?

อาการนอนกรนมีอยู่ 2 ประเภท คือ

  1. อาการนอนกรนธรรมดา (Snoring )เป็นการนอนกรนที่ไม่มีการหยุดหายใจขณะหลับร่วมด้วย ถือว่าไม่มีอันตรายมากนัก แต่ก็สร้างความรำคาญให้แก่คนที่นอนข้าง ๆ และอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตโดยรวมได้ ได้แก่ ผู้ป่วยเสียความมั่นใจ หรือเกิดปัญหาความสัมพันธ์
  2. อาการนอนกรนอันตราย คือมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (OSA) ร่วมด้วย ซึ่งนอกจากจะเกิดปัญหาตามข้อ 1 ดังที่กล่าวมาแล้ว ยังกระทบต่อสุขภาพของผู้ป่วยโดยตรง เพราะทำให้นอนหลับไม่มีคุณภาพ หลับไม่สนิท สะดุ้งตื่นบ่อย 

อาการหยุดหายใจขณะหลับ เกิดขึ้นได้อย่างไร?

หลาย ๆ คนที่กำลังนอนหลับอยู่ แล้วมีกายวิภาคของกล้ามเนื้อในช่องคอหรือลิ้น ในลักษณะดังนี้

  • กล้ามเนื้อในช่องคอหย่อนคล้อย หรือตีบแคบลง ไปอุดกั้นช่องทางเดินหายใจ
  • มีไขมันในช่องคอมากทำให้ช่องทางเดินหายใจตีบแคบ
  • มีช่องคอที่แคบโดยกำเนิด หรือมีโครงหน้าที่เป็นอุปสรรคต่อทางเดินหายใจ เช่น คางสั้น โคนลิ้นใหญ่ ช่องจมูกคด 
  • มีก้อนในช่องทางเดินหายใจ เช่น ต่อมทอนซิล หรือต่อมอะดีนอยด์โต เป็นสาเหตุหลักของการนอนกรนและเสี่ยงหยุดหายใจขณะหลับในเด็ก
  • ลักษณะอื่น ๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการไหลผ่านของอากาศ

ลักษณะดังกล่าว ทำให้อากาศไม่สามารถไหลผ่านได้ในบางช่วงของการนอนหลับ จนเกิดภาวะพร่องออกซิเจน และเกิดการคั่งของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือด ทำให้เลือดมีภาวะเป็นกรดมากขึ้น ซึ่งจะไปกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติ ให้กล้ามเนื้อต่างๆ กลับมาทำงานให้หายใจได้ปกติ 

โดยในช่วงนี้สมองจะตื่นตัว ร่างกายตื่นจากหลับลึก มาเป็นหลับตื้น ทำให้บางคนสะดุ้งตื่นขึ้น บางคนสำลัก ภาวะดังกล่าวอาจเกิดขึ้นเพียงชั่วเวลาสั้น ๆ ระดับวินาที และเกิดขึ้นหลายครั้งในคืนเดียว 

ผลจากการที่ต้องสะดุ้งตื่นบ่อยๆ ทำให้มีอาการง่วงนอนตอนกลางวันมากกว่าปกติ และสมรรถภาพต่างๆ ในการทำงานแย่ลง ส่งผลเสียอื่นๆ ตามมา เช่น ง่วงนอนตอนขับรถ ไม่สามารถมีสมาธิทำงาน และส่งผลต่อบุคลิกภาพ และการอยู่ร่วมในสังคม รวมถึงส่งผลกระทบด้านสุขภาพร้ายแรงของผู้ป่วยที่จะตามมาในระยะยาวอีกด้วย

วิธีสังเกตเบื้องต้น ว่าคุณเสี่ยงต่อภาวะหยุดหายใจขณะหลับ

แนวทางในการตรวจสอบเบื้องต้น  ว่าตัวเราเองมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับในช่วงที่นอนกรนหรือไม่ ผู้ป่วยสามารถ สังเกตอาการได้ด้วยตนเอง ดังนี้

แบบทดสอบ หยุดหายใจขณะหลับ
  1. มีอาการง่วงนอนมากหรืออ่อนเพลียมากผิดปกติในช่วงกลางวัน บางรายอาจรู้สึกง่วงมากหลังขับรถ แม้ว่ากลางคืนจะนอนมาเยอะแล้ว
  2. ตื่นนอนแล้วมักมีอาการมึนศีรษะ หรือปวดศีรษะ บางรายอาจรู้สึกหนักหัวหรือมึนหัวมากจนแทบลุกไม่ไหวและอยากนอนต่อ
  3. รู้สึกคอแห้งหรือเจ็บคอบ่อย ๆ หลังตื่นนอน
  4. มีอาการนอนหลับไม่สนิท ตื่นนอนบ่อย ๆ หรือสะดุ้งตื่นเพราะสำลัก (เหมือนขาดอากาศหายใจ) บางรายมีเหงื่อออกเวลากลางคืน
  5. รู้สึกว่าตัวเองสมาธิสั้น ไม่จดจ่อ หลงลืมง่าย หงุดหงิดบ่อย บางรายมีปัญหาเหล่านี้มากจนกระทบต่อการเรียน การทำงาน หรือการใช้ชีวิตประจำวัน
แบบทดสอบ หยุดหายใจขณะหลับ

อาการที่สอบถามได้จากคนใกล้ตัว 

หากคู่สมรสหรือคนใกล้ตัวมาบอกว่าคุณมีอาการนอนกรน ให้ถามข้อมูลเพิ่มเติมดังนี้

  1. สังเกตว่ามีอาการหยุดหายใจหรือไม่? อาจจะเริ่มจากนอนกรนเสียงดัง แล้วมีช่วงหนึ่งที่เสียงหายไป หรือเงียบจนไม่ได้ยินเสียงหายใจ แล้วอาจตามด้วยเสียงหายใจเฮือกอีกครั้ง
  2. เราเหงื่อออกตอนนอน เวลากลางคืนหรือไม่?
  3. เรามีอาการนอนหลับไม่สนิท กระสับกระส่าย ดิ้นเปลี่ยนท่าบ่อยหรือไม่?
  4. เรามีการสะดุ้งตื่นเหมือนขาดอากาศหายใจหรือไม่?
  5. สังเกตว่าบุคลิกภาพของเราเปลี่ยนไปหรือไม่? เช่น เครียดหรือหงุดหงิดง่ายขึ้น สมาธิสั้น หลงลืมบ่อย มีอาการงง ๆ เหม่อลอยไม่มีสติ ดูอ่อนเพลียไม่กระฉับกระเฉง เป็นต้น

หากคนใกล้ตัวบอกว่าเรามีอาการเหล่านี้ แสดงว่าเรามีความเสี่ยงที่จะเป็นภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และเข้ารับการตรวจ Sleep Test เพื่อการวินิจฉัยที่แม่นยำต่อไป (internal link “Sleep Test”)

อาการใดบ้าง ที่บ่งชี้ว่าเรามีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ อยู่ในระดับรุนแรง

บางท่านอาจเข้าใจว่า หากกรนเสียงดังมาก หรือง่วงนอนมากผิดปกติในเวลากลางวัน แปลว่ามีอาการอยู่ในระดับที่รุนแรง แต่ที่จริงแล้ว อาการเหล่านี้ยังไม่สามารถใช้เป็นสัญญาณเตือนได้ว่าผู้ป่วยมีโรคอยู่ในระดับที่รุนแรงมาก เนื่องจากในผู้ป่วยแต่ละราย อาจมีอาการเหล่านี้แตกต่างกันไป เช่น บางรายมีอาการง่วงนอนมากโดยที่ตัวโรคเป็นเพียงเล็กน้อย ในขณะที่บางรายอาจไม่มีอาการใด ๆ ทั้งที่มีโรคอยู่ในระดับรุนแรงมาก เป็นต้น

ดังนั้นการประเมิณระดับความรุนแรงของภาวะหยุดหายใจขณะหลับที่แม่นยำที่สุด คือ การหาดัชนีการหายใจผิดปกติ (Apnea Hypopnea Index; AHI) จากการตรวจการนอนหลับ (Sleep test) 

โดยจะแบ่งระดับความรุนแรงออกเป็น 3 ระดับ ตามดัชนีการหายใจผิดปกติที่ตรวจพบ ดังนี้

1.ดัชนีการหายใจผิดปกติ น้อยกว่า 5 ครั้ง/ชั่วโมง นับว่า ปกติ

  1. ดัชนีการหายใจผิดปกติ  5-15 ครั้ง/ชั่วโมง นับว่า รุนแรงน้อย

3.ดัชนีการหายใจผิดปกติ 15-30 ครั้ง/ชั่วโมง นับว่า รุนแรงปานกลาง

4.ดัชนีการหายใจผิดปกติ มากกว่า 30 ครั้ง/ชั่วโมง นับว่า รุนแรงมาก

7 สาเหตุที่ทำให้อาการหยุดหายใจขณะหลับ รุนแรงขึ้น

เราได้รู้กันไปแล้วว่า กายวิภาคที่ผิดปกติ เป็นสาเหตุเบื้องต้นของอาการนอนกรน และภาวะหยุดหายใจขณะหลับ แต่อาการดังกล่าวรุนแรงขึ้นได้จากปัจจัยส่งเสริมดังนี้

  1. อายุ : เมื่อมีอายุมากขึ้น กล้ามเนื้อก็เริ่มไม่แข็งแรงเหมือนเดิม โดยจะค่อย ๆ หย่อนยาน จนอาจไปอุดกั้นช่องทางเดินหายใจให้แคบลงได้
  2. เพศ : เพศชายจะเป็นโรคนอนกรนและมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับมากกว่าผู้หญิง เพราะฮอร์โมนของเพศหญิงมีส่วนทำให้กล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่ขยายช่องทางเดินหายใจ มีความตึงตัวที่ดีกว่าของเพศชายนั่นเอง อย่างไรก็ตาม เพศหญิงในวัยหมดประจำเดือนก็จะพบว่ามีความเสี่ยงที่จะมีภาวะดังกล่าวได้สูงขึ้น
  3. ความอ้วน : การสะสมของไขมันมากบริเวณลำคอและทรวงอก จะไปลดช่องว่างทางเดินหายใจให้ตีบแคบลง นอกจากนี้ ยังอาจทำให้การเคลื่อนไหวของหน้าอกแย่ลงอีกด้วย
  4. กรรมพันธุ์ : ภาวะนอนกรนและภาวะการหยุดหายใจขณะหลับ เป็นอาการที่สามารถส่งต่อได้ทางกรรมพันธุ์ 
  5. เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ : สุรา ยาคลายเครียด และยานอนหลับ จะไปทำให้กล้ามเนื้อลำคออ่อนแรงลง จนอาจไปอุดตันทางเดินหายใจได้ง่าย นอกจากนี้ แอลกอฮอล์และยาบางชนิด จะไปกดการทำงานของสมองให้ช้าลงกว่าปกติ
  6. การสูบบุหรี่ : คนที่สูบบุหรี่จะทำให้การทำงานของระบบทางเดินหายใจมีประสิทธิภาพที่แย่ลง
  7. สาเหตุอื่น ๆ เช่น การเป็นหวัดคัดจมูก การกำเริบของภาวะภูมิแพ้จมูก ภาวะอดนอน หรือการกินยานอนหลับบางชนิด เป็นต้น 

 

ชุดคำถามง่าย ๆ เพื่อเช็คว่าคุณเสี่ยงภาวะหยุดหายใจขณะหลับหรือไม่?

ภาวะหยุดหายใจขณะหลับเป็นหนึ่งในสาเหตุอันดับต้น ๆ ของปัญหาการนอนหลับที่นำไปสู่โรคร้ายแรงได้มากมาย เราจึงได้นำเสนอ STOP-BANG ซึ่งเป็นชุดคำถามที่มีประสิทธิภาพที่ดีในการคัดกรองภาวะหยุดหายใจขณะหลับด้วยตนเอง โดยมีคำถามดังนี้ 

  1. Snoring : คุณนอนกรนเสียงดังหรือไม่?
  2. Tired : คุณรู้สึกเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย หรือง่วงนอนในตอนกลางวันบ่อย ๆ หรือไม่?
  3. Observed : เคยมีใครทักคุณว่าคุณมีอาการหยุดหายใจขณะหลับหรือไม่?
  4. Pressure : คุณมีอาการหรือกำลังได้รับการรักษาโรคความดันโลหิตสูงหรือไม่?
  5. BMI : คุณมีค่าดัชนีมวลกายมากกว่า 35 kg/m2 หรือไม่? 
  6. Age : คุณมีอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไปหรือไม่? (ให้นับตั้งแต่อายุ 51 ปี)
  7. Neck : คุณมีเส้นรอบคอมากกว่า 40 เซนติเมตรขึ้นไปหรือไม่? (ให้นับตั้งแต่ 41 เซนติเมตร)
  8. Gender คุณเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง (ผู้ชายมีความเสี่ยงสูงกว่าผู้หญิง)

หากเข้าข่ายมากกว่า 3 ข้อขึ้นไป ถือว่ามีความเสี่ยงเป็นภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (ยิ่งเข้าเกณฑ์หลายข้อ ยิ่งมีโอกาสเสี่ยงมีอาการรุนแรงขึ้น) สำหรับคนที่อ่านมาถึงหัวข้อนี้ ให้ลองทำดูนะครับ

หยุดหายใจขณะหลับ เสี่ยงต่อการเกิดโรคแทรกซ้อนรุนแรง อะไรบ้าง?

ปัญหาของอาการนอนกรนและภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ไม่ได้มีเพียงแค่ นอนไม่มีคุณภาพ ตื่นมาไม่สดชื่น ง่วงนอนตอนกลางวัน แต่ยังมีผลกระทบอื่น ๆ ที่ควรทราบอีก ได้แก่ 

โรคแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากภาวะหยุดหายใจขณะหลับ

มีรายงานว่า คนที่เป็นภาวะหยุดหายใจขณะหลับ แล้วไม่ได้เข้ามารักษา จะเสี่ยงต่อโรคแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่จะตามมา มีทั้งโรคเรื้อรัง ได้แก่ อาการสมรรถภาพทางเพศลดลง โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน ภาวะสมองเสื่อม และโรคซึมเศร้า 

นอกจากนี้  ยังมีโรคที่เกิดขึ้นแบบเฉียบพลัน ได้แก่ โรคหัวใจวายเฉียบพลัน โรคหลอดเลือดสมอง บางโรคอาจส่งผลให้เสียชีวิตได้

ฮอร์โมนสำคัญในร่างกายปั่นป่วนหรือเสียสมดุล

การเจริญเติบโตของร่างกายเป็นกระบวนการที่ซับซ้อน ต้องอาศัยการทำงานของฮอร์โมนหลายชนิด แต่มีฮอร์โมนอยู่ชนิดหนึ่งที่มีความสำคัญมากต่อร่างกาย นั่นคือ โกรทฮอร์โมน (Growth Hormone, GH) ซึ่งเป็นฮอร์โมนหลักที่ผลิตจากต่อมใต้สมอง (Pituitary Gland) ซึ่งร่างกายจะหลั่งออกมาในเวลาที่เรานอนหลับลึก

ในเด็ก หากได้รับการพักผ่อนไม่เพียงพอหรือไม่มีคุณภาพ จะทำให้ร่างกายหลั่งโกรทฮอร์โมนได้ไม่สมบูรณ์เต็มที่ ทำให้มีภาวะเตี้ยและเติบโตช้ากว่าเด็กในวัยเดียวกัน นอกจากนี้ยังทำให้มีภาวะอ้วนและมีไขมันสะสมมากอีกด้วย

ในผู้ใหญ่ หากมีปัญหาจากการนอนหลับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปัญหาภาวะหยุดหายใจขณะหลับ 

ร่างกายก็จะทรุดโทรมเร็วมากกว่าคนทั่วไปที่หลับสนิท เนื่องจากโกรทฮอร์โมนหลั่งออกมาได้ไม่เต็มที่ จึงทำให้ร่างกายฟื้นฟูหรือซ่อมแซมตัวเองได้ไม่ดีเท่าที่ควร

นอนกรน กระทบภาวะสมองเสื่อม อาจทำให้ความจำแย่ลง

คนที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ มักจะมีระดับการนอนอยู่ในช่วงหลับตื้น (Non-Rapid Eye Movement; NREM) อยู่ระหว่างระยะ (stage) 1-2 ตลอดคืน แปลว่าจะมีช่วงหลับลึกหรือหลับสนิทน้อยมาก (รอทำ link ไปบทความ sleep cycle)

ดังนั้น เมื่อร่างกายไม่ได้พักผ่อน แถมยังต้องทำงานหนักเพื่อปรับสมดุลออกซิเจนในเลือด จึงไม่ได้ฟื้นฟูตัวเองเท่าที่ควร ยิ่งไปกว่านั้นภาวะที่กล่าวมานั้นอาจทำให้ออกซิเจนที่ไปเลี้ยงสมองมีไม่เพียงพอ จึงอาจกระทบต่อเซลล์สมองได้และทำให้มีปัญหาด้านสมาธิ ความจำ และในระยะยาวอาจเกิดภาวะสมองเสื่อมได้ในที่สุด

หยุดหายใจขณะหลับ อาจกระทบต่อภาวะซึมเศร้า

เราพบงานวิจัยใหม่ที่พบความเชื่อมโยงกันระหว่าง “ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ” และ “การรักษาภาวะซึมเศร้า” โดยมีข้อสรุปที่น่าสนใจว่า ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ หรือ OSA อาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้การรักษาภาวะซึมเศร้าล้มเหลว

โดยพบว่า มีประมาณ 20 – 30% ของคนที่มีภาวะซึมเศร้าหรือความผิดปกติทางอารมณ์อื่น ๆ ที่อาการไม่ได้ดีขึ้นจากการรักษาที่มีอยู่ โดยในภายหลัง ผู้วิจัยพบว่าภาวะหยุดหายใจขณะหลับ เป็นสาเหตุของการดื้อต่อการรักษาภาวะซึมเศร้า (ไม่ตอบสนองต่อยารักษาโรคซึมเศร้า) นอกจากนี้ ยังพบว่า การรักษาคุณภาพการนอนหลับให้ดี อาจช่วยบรรเทาอาการซึมเศร้าได้ด้วย

อ่านงานวิจัยฉบับเต็มได้ที่นี่: https://www.sciencedirect.com/…/abs/pii/S0022395619302018 

สรุปแล้ว ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ เล่นงานอะไรเราได้บ้าง? 

ผลกระทบ ภาวะหายใจขณะหลับ

อายุ 60 ปีขึ้นไป เสี่ยงต่อภาวะหยุดหายใจขณะหลับมากขึ้น

ผู้ที่มีอายุอยู่ในช่วงอายุ 60-70 ปี มีโอกาสเกิดภาวะการหยุดหายใจในขณะหลับเพิ่มขึ้น เพราะการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาต่าง ๆ ตามอายุ เช่น สัดส่วนไขมันในร่างกายที่เพิ่มขึ้น สวนทางกับสัดส่วนของกล้ามเนื้อที่ลดลง

นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงของลักษณะทางกายวิภาคของทางเดินหายใจ การลดลงของฮอร์โมนไทรอยด์ (เสี่ยงต่อโรคคอพอกหรือไขมันในเลือดสูง) และปริมาตรปอดที่ลดลง ก็เพิ่มความเสี่ยงต่อการอุดกั้นทางเดินหายใจมากขึ้นด้วย

ดังนั้น บ้านไหนที่มีผู้สูงอายุต้องดูแล อย่าลืมหมั่นสังเกตเรื่องภาวะการหยุดหายใจขณะหลับของพวกท่านอยู่เนือง ๆ เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้

เฝ้าระวังลูกนอนกรน อาจหยุดหายใจขณะหลับ

เด็กเล็กก็มีโอกาสเป็นภาวะหยุดหายใจขณะหลับได้เช่นกัน โดยมักมีสาเหตุมาจากภาวะอ้วน, ต่อมอะดีนอยด์โตขึ้นจากการติดเชื้อ, หรือต่อมทอนซิลโต ซึ่งมักเป็นในเด็กอายุระหว่าง 2 – 6 ปี

หากปล่อยให้มีอาการบ่อยครั้งในช่วงของการเจริญเติบโต อาจเป็นภัยเงียบที่มีผลต่อพัฒนาการของเด็ก หรือทำให้เด็กเจ็บป่วยได้ง่าย และอาจมีอาการรุนแรงถึงขั้นหัวใจวายได้ พ่อแม่จึงควรคอยระวังและหมั่นสังเกตลูก ๆ ให้ดี

วิธีการสังเกตภาวะหยุดหายใจขณะหลับในเด็ก สามารถดูจากช่วงที่นอนหลับได้ ว่าเด็กมีอาการนอนกรนเสียงดังเป็นประจำ หรือมีอาการหยุดหายใจขณะที่กำลังหลับเป็นช่วงสั้น ๆ มีเสียงกรนหายใจหอบ ตื่นนอนระหว่างคืน หรือเหงื่อออกมากขณะหลับหรือไม่?

ตอนที่เราปลุกเด็กในช่วงเช้า น้องมีอาการงอแงอยากหลับต่อ หรือรู้สึกปวดหัวหรือไม่? นอกจากนี้ ในระหว่างวัน เด็กซนมากกว่าปกติ มีสมาธิสั้น หงุดหงิดง่ายหรือไม่?

หากเราพบว่าลูก ๆ มีอาการดังที่กล่าวมา หลายข้อหรือแค่บางส่วนก็ตาม ผู้ปกครองไม่ควรชะล่าใจเด็ดขาด ควรพาเด็กไปพบแพทย์เฉพาะทางด้านระบบทางเดินหายใจเพื่อตรวจร่างกายโดยละเอียด หากมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับจริง จะได้ทำการรักษาได้ทันก่อนที่จะส่งผลกระทบมากไปกว่านี้

ตรวจหาภาวะหยุดหายใจขณะหลับด้วย Sleep test

สำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหานอนกรน หรือสงสัยว่ามีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ควรรีบเข้าพบแพทย์เฉพาะทางเพื่อทำการตรวจ Sleep Test

การตรวจการนอนหลับ หรือ Sleep test เป็นการตรวจเพื่อหาสาเหตุของความผิดปกติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างที่เรานอนหลับได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการวางแผนและติดตามการรักษาได้อย่างถูกต้องแม่นยำ

ศึกษาการทำ sleep test เพิ่มเติมได้ที่ : https://www.bkksleepcenter.com/Sleep-test

 

Sleep test ควรทำโดยแพทย์เฉพาะทาง ภายใต้บรรยากาศที่เหมาะสม

ที่ Sleep Lab ของ กรุงเทพ สลีป เซ็นเตอร์ เราให้การตรวจรักษาปัญหาการนอนหลับ โดยแพทย์เฉพาะทางที่ชำนาญการ เพื่อให้คุณได้รับการตรวจและรักษาที่ได้มาตรฐาน ด้วยบริการอบอุ่นเป็นกันเอง ภายใต้บรรยากาศที่ร่มรื่น เงียบสงบและผ่อนคลาย 

หากสงสัยว่าตัวเองมีปัญหาด้านการนอนหลับ สามารถจองหรือติดต่อปรึกษาได้ที่ กรุงเทพ สลีป เซ็นเตอร์ (Bangkok Sleep Center) https://www.bkksleepcenter.com/BSC-services

  • แอดไลน์ @bkksleepcenter หรือ https://lin.ee/Ia7dq0
  • หรือโทรศัพท์มือถือ 064 649 1919

วิธีการรักษาภาวะหยุดหายใจขณะหลับ มีอะไรบ้าง?

หลังจากตรวจ sleep test แล้วพบว่าเรามีภาวะนอนกรนร่วมกับหยุดหายใจขณะหลับจริง แพทย์จะมีวิธีการรักษาโดยพิจารณาจากสาเหตุทางสรีรวิทยาของผู้ป่วย โดยมีทางเลือกการรักษาที่น่าสนใจ ได้แก่

  1. รักษาด้วยการแนะนำให้ปรับพฤติกรรม เช่น เลี่ยงการนอนหงาย (ที่จะเพิ่มโอกาสนอนกรน) การลดน้ำหนัก ออกกำลังกาย งดการสูบบุหรี่ งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ งดการใช้ยาบางชนิด หรือการฝึกกล้ามเนื้อคอหอย เป็นต้น
  2. ใช้เครื่องช่วยหายใจแรงดันบวก (Continuous Positive Airway Pressure) หรือ CPAP เป็นวิธีการที่นิยมใช้ที่สุด และมีประสิทธิภาพในการรักษาภาวะหยุดหายใจขณะหลับได้เป็นอย่างดี
  3. การรักษาด้วยอุปกรณ์ทางทันตกรรม (Oral Appliance) หรือกลุ่มเครื่องมือที่ช่วยให้ทางเดินหายใจเปิดกว้าง และคงสภาพไม่ให้หย่อนตัวลงในขณะนอนหลับ ซึ่งจะเหมาะกับรายที่มีอาการไม่มาก
  4. การใช้ยา ซึ่งขึ้นอยู่กับสาเหตุของช่องคอที่ตีบตันว่าสามารถใช้ยาในการรักษาได้หรือไม่ เช่น หากผู้ป่วยมีภาวะพร่องฮอร์โมนไทรอยด์ (Hypothyroidism) แพทย์อาจเลือกใช้ฮอร์โมนไทรอกซินในการรักษา เป็นต้น
  5. ใช้การผ่าตัด ซึ่งเป็นทางสุดท้ายที่แพทย์จะเลือกใช้ แต่หากผู้ป่วยไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยวิธีการไม่ผ่าตัด มีความผิดปกติทางกายวิภาค หรือมีภาวะอาการที่รุนแรงและส่งผลกระทบอย่างมาก แพทย์จะเลือกใช้วิธีการผ่าตัด

สรุป

นอนกรน เป็นอาการที่คนส่วนใหญ่คิดว่าไม่อันตราย แต่หากมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับร่วมด้วยแล้ว อาจเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายสูง โดยเฉพาะโรคร้ายแรงแบบเฉียบพลัน อาจทำให้ผู้ป่วยถึงขั้นเสียชีวิตได้ 

แนวทางป้องกันไม่ให้ตัวเองเสี่ยงต่อการมีภาวะหยุดหายใจ คือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ได้แก่ การควบคุมหุ่นและน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ พยายามปรับสัดส่วนโครงสร้างของร่างกาย ให้มีสัดส่วนไขมันน้อย ๆ มีสัดส่วนกล้ามเนื้อมาก ๆ เพื่อลดโอกาสการหย่อนคล้อยของกล้ามเนื้อส่วนคอ นอกจากนี้ ยังรวมถึงการปรับพฤติกรรมการนอน เช่น พยายามนอนในท่าตะแคง ลดการสูบบุหรี่ ดื่มสุรา หรือใช้ยาบางชนิด เพื่อลดโอกาสที่จะนอนกรน

อยากให้กำลังใจว่า โรคดังกล่าวสามารถรักษาให้หายได้ แพทย์อาจเลือกใช้หลายวิธีร่วมกัน หลายคนไม่จำเป็นต้องผ่าตัดเลยด้วยซ้ำ แต่ทุกอย่างต้องเริ่มจากก้าวแรกเสมอ นั่นคือการสังเกตให้เจอว่าตนเองมีอาการผิดปกติในการนอนหลับหรือไม่? หากสงสัยว่าอาจจะมี ให้มาตรวจ sleep test กับสถาบัน sleep lab ที่ได้มาตรฐาน เพื่อหาแนวทางการรักษาที่เหมาะสมต่อไป

“เพราะการนอนเป็นปฐมบทของชีวิตในวันถัดไป

ยิ่งรักษาได้เร็ว ยิ่งคืนสมดุลชีวิตได้ไว ก็จะช่วยให้ท่านได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข”

ศูนย์ Sleep lab ยินดีให้บริการ และพร้อมให้คำปรึกษาแก้อาการนอนกรน ผู้หญิง-ผู้ชาย พร้อมบริการรักษาภาวะนอนกรน และหยุดหายใจขณะหลับชนิดอุดกั้น (Obstructive Sleep Apnea) โดยการใช้เครื่อง CPAP โดยแพทย์เฉพาะทางที่ได้รับการรับรองจาก American Board of Sleep Medicine และเจ้าหน้าที่ ที่คอยให้บริการอย่างอบอุ่น สุภาพ และเป็นกันเอง ในบรรยากาศที่พักส่วนตัวที่เงียบสงบ และร่มรื่น

กรุงเทพ สลีป เซ็นเตอร์
ศูนย์ Sleep lab ที่ให้การตรวจการนอนหลับ (sleep test) ของคุณ
เป็นช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนอย่างแท้จริง

โทรปรึกษา 064-649-1919, 02-089-8687

บทความอื่นๆ

ลูกนอนอ้าปาก หายใจแรง เป็นเรื่องที่เดี๋ยวโตก็หายหรือเปล่านะ ?

เรื่องสภาวการณ์นอนกรนในเด็ก หลายๆครอบครัวอาจมองข้ามเห็นว่าเป็นเรื่องไม่สำคัญ โตเดี๋ยวก็หาย ซึ่งทางการแพทย์ยืนยันแล้วว่า ส่งผลกระทบโดยตรงต่อพัฒนาการทั้งทางร่างกายและสติปัญญา ของลูกน้อย

อ่านเพิ่มเติม
Shopping Basket